Mono Plus 2 Technology ,Option in Impression B.I.G. Norm Mono 2 ,Multigressiv B.I.G. Norm Mono 2
UPDATE : 05 Jan 2023
วันนี้ขอคั่นเรื่องโปรเกรสซีฟ ไปทำความรู้จักกับเลนส์ Single Vision กันดูบ้าง แต่ไหนๆก็จะพูดทั้งที ถ้าจะให้พูดแค่โครงสร้างพื้นฐานก็ดูจะทำให้เสียเวลาแฟนคอลัมป์ไปไหน่อย ดังนั้นวันนี้จึงขอมาพูดถึงเลนส์ชั้นเดียว แต่เป็นเลนส์ชั้นเดียวที่ใช้เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในเลนส์โปรเกรสซีฟระดับสูงมาใช้ออกแบบโครงสร้าง และมีเทคโนโลยีสำคัญที่มีความโดดเด่นจากท้องตลาดคือ Mono Plus 2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่วางค่า แอดดิชั่น ผ่านโครสร้างโปรเกรสซีฟ ที่โซนดูใกล้ เพื่อลดกำลังเพ่งของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์แก้วตาไม่ต้องทำงานหนัก จึงช่วยให้ดูใกล้สบายขึ้น ดูได้นานขึ้น ลดอาการเมื่อยล้าขณะดูใกล้ และปรับระยะโฟกัสได้เร็วขึ้น และแม้จะมีเลนส์ประเภทนี้อยู่ในค่ายเลนส์อื่นๆ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ plus technolgy ที่ทำไป 100% นั้น มี reject rate = 0 % และ no adaptation จริงๆ น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหม อะเชิญๆอ่านต่อเลย แต่ก่อนจะเข้าเข้าเนื้อหาค่อนข้างหนักหน่วง เรามาปูพื้นเกี่ยวกับเลนส์ชั้นเดียวกันสักเล็กน้อย
เลนส์ชั้นเดียว (เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสเพียงระยะเดียว) หรือ single vision lens นั้นแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามโครงสร้างและเทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบ เรียงจากโครงสร้างพื้นฐานที่สุดไปจนถึงไฮเอนด์เทคโนโลยีสูงสุดได้แก่
1.Spheric Design
เป็นเลนส์ยุคแรกใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีมายาวนานกว่า 100 ปี ใช้ผิวหน้าเป็นโค้งปกติ (sphere)ขัดค่าสายตาไว้ด้านหลังด้วยหลักกลไกพื้นฐานธรรมดาแบบ conventional คือขัดด้วยเครื่องขัดหัวทูล (tools) อยากได้สายตาอะไร ก็เอา tools ที่โค้งตามค่าสายตาตามนั้นมาขัด
การคุมคุณภาพเลนส์สายตาด้วย base form lens หรือ โครงสร้างดีไม่ดีนั้นมี base curve เป็นตัวกำกับ ไม่สามารถชดเชยอะไรได้เนื่องจากเป็นการขัดกลไกธรรมดา ทำให้จุดชัดของ optic ที่ดีที่สุดจะอยู่ที่บริเวณเซนเตอร์ของเลนส์และความคลาดเคลื่อนของกำลังหักเหบริเวณขอบๆจะมากขึ้น (periphery aberration) ยิ่งกับผู้ที่มีสายตาเอียงมากๆหรือมีสายตาที่ซับซ้อน หรือ ต้องใช้เลนส์ขัดพิเศษที่มีปริซึมหรือนำไปประกอบกับกรอบแว่นที่โค้งแล้วผู้ส่วมใส่จะเข้าใจปัญหานี้ได้ชัดเจนขึ้นคือมีภาพบิดเบือนด้านข้างที่สูง
ปัจจุบันเลนส์กลุ่มนี้ของโรเด้นสต๊อกคือรุ่นพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็คือ Perfalit (ส่วน punktulit netline นั้นไม่ได้ถูกจัดอยู่ catagoties ของเลนส์โรเด้นสต๊อก เพราะเป็นเลนส์เน้นลดต้นทุน ราคาถูก แต่เอาไว้เพื่อ share market กลุ่มล่างเฉยๆ คุณภาพส่วนตัวผมลองใช้เองรับไม่ค่อยได้ ) ; เลนส์ส่วนใหญ่ในตลาดเลนส์ชั้นเดียวนั้นมากกว่า 90% เป็นโครงสร้างประเภทนี้ จะแตกต่างกันก็ในส่วนของเทคโนโลยีการเคลือบผิว (multi-coating)เท่านั้น
เลนส์ยุคที่สอง เป็นยุคที่พยายามจะไม่พึ่งพา Base form lens เพราะบาง baes curve ที่เหมาะกับสายตาจริงๆนั้น เรื่อง cosmetic แล้วยอมไม่ได้เลย เช่นเลนส์บวกสูงๆ จะต้องใช้ base 8-9 ซึ่งไม่สวย เนื่องจากเลนส์จะนูนตรงกลางมากและเกิด aberration/distortion ด้านข้างมาก ก็มีความคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะกด base curve ของเลนส์ให้แบนลงมาในขณะเดียวกันก็อยากจะคงไว้ซึ่ง optic properties ด้วยเหตุว่าสำหรับ sperical design นั้นถ้า base curve ไม่ match กับค่าสายตานั้น จะรบกวนโครงสร้างเลนส์พอสมควร ก็เลยพยายามออกแบบเลนส์ที่ลดการพึ่งพา base form lens จึงออกแบบเป็นเลนส์ Aspheric Design หรือเรียกว่าเลนส์ “โค้งแบน” คือหน้าเลนส์จะแบนๆ ซึ่งเกิดจากการออกแบบให้ผิวหน้าเลนส์นั้น ค่อยๆลดความโค้งลงมาแบบ gradient ทำให้สามารถลดความคลาดเคลื่อนของค่าสายตาบริเวณขอบๆเลนส์ได้ และเมื่อเป็นแบบนี้ ก็สามารถช่วยลดปัญหา base curve effect ได้บางส่วน และพอกด base ให้แบนลงมาได้ เลนส์ก็บางขึ้นเป็นผลพลอยได้ และเนื่องจาก Aspheric จะทำกันบนเนื้อ high index ก็เลยทำให้เลนส์ชนิดนี้ดูบาง และมักจะไปเชียร์ชายด้วยวลี "เลนส์หน้าแบนย่อบาง" แต่ก็มีปัญหาเช่นกัน เมื่อต้องทำค่าสายตาที่เอียงมากๆ เพราะสายตาที่เอียงมากนั้น แปลว่าแกนกำลังของค่าสายตาแต่ละแกนนั้นต่างกันมาก และมีการเปลี่ยนแปลงของค่าหักเหจากแกนหนึ่งไปอีกแกนหนึ่งมากด้วยเช่นกัน ซึ่งในปัจจัยลักษณะนี้ Aspheric ก็ช่วยลำบาก
เลนส์โรเด้นสต๊อกกลุ่มนี้คือ Cosmolit ซึ่ง process ในการขัดค่าสายตานั้น ยังใช้การขัดแบบ conventional อยู่ โดยโครงสร้าง aspheric นั้นจะถูกหล่อผ่านแม่พิมพ์ลงบนผิวหน้าของเลนส์ และ ขัดค่าสายตาสั้น/ยาว/เอียง ไว้ทางด้านหลังด้วยหัวทูลเช่นเดียวกันกับเลนส์ spheric
จริงประโยชน์ของ Aspheric ที่ช่วยให้เลนส์บางนั้น เอาเข้าจริงไม่ค่อยเท่าไหร่กับคนสายตาสั้น เพราะหน้าเลนส์นั้นแบนอยู่แล้ว และตัวแปรของคนสายตาสั้นมากๆ จะไปอยู่ที่ขนาดของกรอบแว่นที่เลือกมากกว่า ถ้ากรอบเล็ก ก็สามารถตัดขอบเลนส์ทิ้งได้มาก เลนส์ก็จะบางมันเอง ผมจะจ่าย cosmolit เมื่อค่าสายตา เกิน spect ที่ perfalit จะทำได้ เพราะไม่ชอบเลนส์แบน มันเข้ากรอบไม่สวย และ optic ก็ไม่ได้ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
จากปัญหาของสายตาเอียงที่โครงสร้าง Aspheric ปกติทั่วไปเอาไม่อยู่นั้น เนื่องจากไม่สามารถคุมแกนของสายตาเอียงได้ดีพอ ซึ่งผู้อ่านที่ยังใหม่จะต้องทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า
เลนส์ที่มีค่าสายตาเอียงนั้น แต่ละแกนนั้นจะมีกำลังหนักเหไม่เท่ากันต่อเนื่องไปจากแกนที่มีกำลังหักเหมากที่สุด (power meridain) และ ค่อยๆลดกำลังลงไปเรื่อยๆจนไปถึงแกนที่มีกำลังหักเหน้อยที่สุด (axis merian) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของกำลังหักเหนั้นจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีรอยต่อ นั่นหมายถึงความโค้งมีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง จากแกนที่มีกำลังมากสุดไปจนถึงแกนที่มีกำลังน้อยสุด
สิ่งที่ตามมาคือ เลนส์มีกำลังหักเห ก็จะต้องมีกำลังขยายเป็นเงาตามตัว ดังนั้น เมื่อโค้งเปลี่ยน กำลังก็เปลี่ยน กำลังขยายก็เปลี่ยน ทำให้คนที่มีสายตาเอียงมากๆนั้น จะรู้สึกเมากับ aberration ที่เกิดขึ้นจากการใส่เลนส์สายตาเอียงครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่เคยใช้เลนส์สายตาเอียงมากก่อนและใช้เลนส์เทคโนโลยีต่ำ ก็จะปรับตัวนานหน่อย
เรื่องถัดมาคือ เลนส์ที่มีกำลังหักเหหนึ่งๆนั้น จะต้องการค่าความโค้งของ base curve ได้เพียงหนึ่งโค้งเท่านั้น แต่เลนส์สายตาเอียงนั้น มีความโค้งที่เกิดขึ้นในแต่ละแกนนั้นมากมาย (แต่เรามักจะสนใจเพียงแกนที่โค้งมากสุดกับน้อยสุดเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นก็มีแกนที่โค้งอยู่กึ่งกลางระหว่างนั้นด้วยเช่นกัน) ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะให้เกิด base curve ที่สามารถคุมแกนหลายแกนได้มากขึ้น เพื่อลด aberration ที่เกิดขึ้นขณะที่เลนส์มีการเปลี่ยนแปลงกำลังหักเหไปในแต่ละแกน
จึงต้องมีการพัฒนาโครงสร้างเพื่อคุมแกนให้ละเอียดมากขึ้น ได้ดีไซน์ใหม่ขึ้นมา โดยให้โครงสร้างที่เป็น Ashperic หน้าและหลัง จึงเรียกกันว่า Double Aspheric 8 แกนคือคุมสายตาเอียงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากเดิมนั้นคุมได้แค่ 2 แกน คือแกน sphere และแกน Cylinder แต่ 8 แกนก็ยังไม่ละเอียดพอที่จะคุมแกนองศาเอียง ในคนไข้ที่มีสายตาเอียงมากๆได้ และปัญหาเรื่อง Cosmetic สำหรับเลนส์ประเภทนี้คือเลนส์จะแบน (Base Curve แบนมาก) ทำให้เข้ากรอบแล้วไม่สวย ดังนั้นเมื่อเทคโนโลยี ฟรีฟอร์มเกิดขึ้น มาจึงได้พัฒนาโครงสร้างใหม่แบบไม่มีแกนขึ้นมาคือ Atoric Design หรือ Multi-Aspheric Design ที่สามารถเลือก Base Curve ของหน้าเลนส์ได้ และยังคง optical properties ได้อย่างครบถ้วน
โครงสร้าง Multi-Aspheric /Atoric Design นั้นพบอยู่ในเลนส์ Rodenstock 2 รุ่นคือ Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono 2 และ Impression B.I.G. Norm/Exact Mono 2 ซึ่งการออกแบบโครงสร้างนั้นจะแตกต่างจากเทคโนโลยีเก่าโดยสิ้นเชิง
หลักการคร่าวๆก็คือ ในการออกแบบโครงสร้างเลนส์แต่ละคู่นั้น จะใช้เทคโนโลยีการคำนวณโครงสร้างเลนส์แบบ wavefront ด้วยซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ (unique customization technolgy) เพื่อให้โปรแกรมนั้นวาดโครงสร้างดิจิตอลขึ้นมา โดยค่าที่จะนำไปคำนวณนั้นนำมาจากตัวแปรที่เราใส่เข้าไปเช่น ค่าสายตา(refraction) , ค่าพีดี(pupillary distant) ,ค่าพารามิเตอร์ของกรอบแว่น(FFA ,CVD,PTA) ,ค่าความโค้งหน้าเลนส์ที่เลือก (base curve), ค่าฟิตติ้ง(centering data), และข้อมูลของกรอบเช่นขนาดและไซต์ของกรอบ (frame shape and size) เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปคำนวณแนวการมองของตาผ่านเลนส์แต่ละจุดว่ากระทำต่อเลนส์เป็นมุมเท่าไหร่ ที่ตำแหน่งมองตรง (primary gaze) และเมื่อมองหลุดจากตำแหน่ง reference point แล้วตาทำมุมตกกระทบเปลี่ยนไปเท่าไหร่ เกิดความคลาดเคลื่อนของกำลังหักเหเท่าไหร่ แล้วทำการ Optimized ให้ได้โครงสร้างที่ดีที่สุด โดยซอฟแวร์จะอิงตามโครงสร้างในอุดมคติ (ideal structure) แล้วจึงสั่งงานให้เครื่อง 3D Freeform ทำการขัดแบบ point by point
ดังนั้นโครงสร้างของ Multi-Aspheric นี้จะให้ทั้งเรื่อง optical properties และ Cosmetic คือ ภาพที่คมชัด และ เลือก base curve ได้อิสระ ซึ่งรายละเอียดของการออกแบบโครงสร้างแต่ละรุ่นนั้น ไว้จะคุยกันในวันหน้า แต่วันนี้่ของพูดถึง option สำสัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เลนส์ชั้นเดียวก่อนคือ Mono Plus 2 ซึ่งมีอยู่ 2 รุ่นคือ Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono 2 และ Impression B.I.G. Norm/Exact Mono 2
Plus 2 Technology ,จะเป็น option ที่มีให้เลือกเพิ่มในผลิตภัณฑ์รุ่น Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono 2 และ Impression B.I.G. Norm/Exact Mono 2
เลนส์ที่มี plus นี้จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น 4 เรื่องคือ
1.เป็นเลนส์ที่ช่วยลดทอนกำลังเพ่งของเลนส์ตา (relax accommodation) ซึ่งออกแบบเป็นค่า Add อยู่ที่โซนด้านล่างของเลนส์สำหรับมองใกล้
2.มีการชดเชย power ของสายตาเอียงที่เปลี่ยนไปขณะดูใกล้ ด้วย EyeLT technology ทำให้ได้ภาพที่คมชัด ทั้งไกลและใกล้ จรดขอบเลนส์ (ซึ่งต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ลักษณะการเคลื่อนที่ของดวงตาของเรานั้น เมื่อมองไปยังตำแหน่งต่างๆ ดวงตาจะมีการบิดตัวด้วย ทำให้องศาของค่าสายตาเอียงนั้นเปลี่ยน)
3.individual inset ทำให้ inset ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของลูกตาขณะดูใกล้เฉพาะบุคคล โดยการออกแบบจะคำนวณจากค่า PD และค่าสายตาเฉพาะบุคคลและชดเชย Axis ที่เปลี่ยนไปขณะดูใกล้ (EyeLT)
4.ออกแบบโครงสร้างเลนส์เฉพาะบุคคล ซึ่งคำนวณจากสายตาเฉพาะร่วมกับค่าพารามิเตอร์ของกรอบแว่นขณะสวมใส่เฉพาะคน (เพื่อคำนวณมุมตกกระทบแสงแบบ off-axis เมื่อเรามองผ่านด้านข้างของเลนส์) ทำให้ได้กำลังหักเหที่แม่นยำจดขอบเลนส์ (ILT ,individual lens technology)
5.ขัดโครงสร้างตามที่ออกแบบมาด้วย CNC 3D-Freeform Technology ที่มีความละเอียดสูงในระดับไมครอน
เรามาดูกันเป็นเรื่องๆ
1.Accommodation Assistant
ในการใช้สายตา มองไกล มองใกล้ สลับไปมา หรือเปลี่ยนระยะในการมองแต่ละครั้งนั้น เลนส์ตาต้องปรับโฟกัสตัวเองไปๆมาๆ ซึ่งในขณะที่กำลังปรับนั้น ต้องใช้พลังงานสูงในการที่จะบังคับกล้ามเนื้อภายในลูกตา (ciliary muscle) ให้เลนส์ตาเกิดการเปลี่ยนทรง (shape change) ให้นูนมากขึ้น และในคนไข้บางคนที่กำลังเพ่งนี้อ่อนแรง ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเพ่งของเลนส์ตา ได้แก่
ซึ่งปัญหาการโฟกัสของเลนส์ตานี้ ทำให้ลดทอนประสิทธิภาพในการทำงานระยะใกล้ ล้าตา เมื่อยตา ปวดเบ้าตา รู้สึกเพลียหลังทำงาน ซึ่งปัญหานี้จะเริ่มเป็นมากขึ้นในคนที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไปและจะเริ่มหนักเมื่ออายุ 40 ปี จนไม่สามารถโฟกัสได้ด้วยตัวเอง และจำเป็นต้องใช้เลนส์บวก มาช่วยในการเพ่ง ที่เราเรียกว่า “สายตาคนแก่ หรือ Presbyopia”
แต่ในคนที่มาอายุต่ำกว่า 40 ปีนั้น เลนส์ตายังพอดีแรงเพ่งได้ แต่อาจจะมีน้อย หรือล้า หรือไม่แข็งแรง ก็ทำให้เกิดปัญหาในการดูใกล้ได้เช่นกัน ซึ่ง Plus Technology จะเข้ามาช่วยที่จุดนี้ คือเป็น Addition อ่อนๆ ขัดเป็นโครงสร้างโปรเกรสซีฟเข้าไป ที่บริเวณโซนอ่านหนังสือบนตัวเลนส์ ซึ่งสามารถเลือก Addition ได้ 2 ค่า คือ +0.50D , +0.80D และ 1.1D ซึ่งในการประเมินว่าจะใช้ Add ค่าไหนถึงจะเหมาะสมนั้น จะต้องใช้ผลจากการตรวจเป็นหลัก
ดังนั้น Plus Technology ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ช่วย หรือ เลขา(Accommodation Assistant) ให้กับเลนส์แก้วตา ในการลดภาระการเพ่งของเลนส์ตาขณะดูใกล้ ทำให้การทำงานของของเลนส์ตานั้น ทำงานได้ง่ายขึ้น สบายขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ทำได้นานขึ้น
เทคโนโลยีที่สำคัญที่มีอยู่เฉพาะในเลนส์ระดับสูงของ Rodenstock และ เป็นเทคโนโลยีที่สร้างชื่อให้กับโรเด้นสต๊อกที่เลนส์ค่ายอื่นยังไม่สามารถทำได้ก็คือ EyeModel -Effective near astigmatism
Astigmatism หรือ สายตาเอียงนั้น เมื่อเราทำการแก้ไข สายตาเอียง (ทั้งกำลังทั้งองศา) สำหรับมองไกลให้ถูกต้องดีแล้ว คนไข้จะมองไกลคมชัด แต่เมื่อดูใกล้ คนไข้จะรู้สึกว่า ชัดน้อยกว่าตอนมองที่ระยะไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่สายตาเอียงมากๆ
ซึ่งผลของ effective near astigmatism นี้ จะเพิ่มขึ้นเมื่อ
ซึ่งใน Plus technology จะช่วยให้คนที่มีค่าสายตาเอียงได้มากในเรื่องนี้ เนื่องจากจะทำให้ค่ากำลังหักเหในแต่ละจุดนั้น แม่นยำทั่วทั้งแผ่นเลนส์ มิติภาพที่ได้จึงสามารถให้ความคมชัดได้ถึงขอบเลนส์ ซึ่งนอกจากกำลังสายตาเอียงจะมีการเปลี่ยนแปลงขณะดูใกล้แล้ว องศาของสายตาเอียงเมื่อมองไปยังตำแหน่งต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย ซึ่งสามารถคำนวณองศาที่เปลี่ยนไปได้ด้วย Listign’s Law
องศาของสายตาเอียงเปลี่ยน ซึ่งเกิดจากการหมุนรอบดวงตา(twist) เมื่อมองหลุดจาก primary gaze ซึ่งโรเด้นสต๊อกใช้ listing’s law ในการคำนวณชดเชยทั้งขณะมองไกลและมองใกล้ ด้วยเหตุว่าลักษณะการหมุนของดวงตาในการมองไกลกับมองใกล้นั้นแตกต่างกัน โดยการมองไกลนั้นจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน แต่ขณะดูใกล้นั้นจะเป็นการหมุนออก (excyclotorsion) ซึ่งเลนส์พื้นฐานทั่วไปแบบ conventional นั้นไม่สามารถชดเชย listing's law ได้ ทำให้เพียงจุดเซนเตอร์ของเลนส์ขณะมองตรงเท่านั้น ไว้มีโอกาสจะมาเล่าในรายละเอียด
ผลที่ได้ คือสนามภาพในระยะกลาง ใกล้ กว้างขึ้น (จากความคลาดเคลื่อนของกำลังหักเหนั้นลดลง) จากการจัดเรียงตัวของเส้น cylinder ที่แม่นยำมากขึ้น ซึ่งต้องอย่าลืมว่าภาพบิดเบี้ยวด้านข้างนั้นก็คือ(unwnated) Oblique Astigmatismทำให้เกิดภาพบิดเบี้ยวที่มัวด้านข้างขึ้น
จากรูปจะเห็นว่า เลนส์ที่ไม่มีการชดเชย effective near
astigmatism จะทำให้กำลังสายตาเอียงคลาดเคลื่อนที่ตำแหน่งดู
ใกล้(BN) = 0.28 D ,และผลของการไม่ได้ชดเชย Listing’s law
ทำให้โครงสร้างนั้นไม่เหมาะสมกับการเหลือบตาขณะดูใกล้ จะ
เห็นว่ามีแนว unwanted cylinder วิ่งผ่านโซนดูใกล้
โครสร้างที่ชดเชยเฉพาะ effective near astigmatism
แต่ไม่ได้ชดเชย listing’s law จะเห็นว่าความคลาดเคลื่อน
ของกำลังสายตาลดลงเหลือ 0.15D แต่การจัดเรียงของเส้น
Cylinder ก็ยังจัดเรียงไม่เป็นระเบียบ และไม่พอดีกับการ
เหลือบดูใกล้ ยังมี unwanted cylinder รบกวน
โครงสร้างที่ชดเชย เฉพาะ listing’s law แต่ไม่ชดเชย
effective near astigmatism จะเห็นว่าสายตาเอียงคลาด
เคลื่อน 0.22 D แต่การจัดเรียงของเส้นสายของ unwated
Cylinder ก็ยังไม่สอดคล้องกับการเหลือบเข้าอยู่ดี แสดงว่า
ถ้าชดเชย listing’’s law เพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยมากเท่า
ไหร่
โครงสร้างที่ชดเชยทั้ง effective near astigmatism และ
Listing’s law ทำให้การจัดเรียงตัวของสาย cylinder นั้น
ออกมาได้สวยงาม เป็นระเบียบ เหมาะสมกับตำแหน่งใช้
งาน และมีความคลาดเคลื่อนบนตัวเลนส์เพียง 0.03 D
Individual inset
การออกแบบ inset ใน Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono Plus 2 และ Impression B.I.G. Norm/Exact Mono Plus 2 นั้นออกแบบให้เหมาะสมกับการเหลือบของแต่ละบุคคล โดยคำนวนจาก individual monocular PD และใช้ค่าพารามิเตอร์เฉพาะคนเฉพาะกรอบแว่นทั้ง 3 ค่าคือ ความโค้ง มุมเท และระยะห่างเลนส์ถึงตา เหมือนที่สั่งเลนส์โปรเกรสีฟระดับสูง ดังนั้นในการออเดอร์ ควรใช้วัด pd เป็น monocular pd และ วัดพารามิเตอร์กรอบแว่น FFA ,CVD ,PT ให้ครบ
BN position
-ต่ำกว่าตำแหน่งมองไกล (fitting cross) 16 mm
-Fitting High (FH) ควร ≥ 14 mm
-ที่ตำแหน่ง 14 มม. ค่า addition เป็น 85% ของค่าaddทั้งหมด
Vision zone หมายถึง สนามภาพบนตัวเลนส์ที่สามารถใช้งานได้ และเนื่องจากเลนส์นั้นมีความใส ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของกำลังสายตาบนเลนส์โปรเกรสซีฟได้ด้วยตาเปล่า และมองไม่เห็นถึงแนวของ Oblique Astigmatism ที่ทำให้เกิดภาพบิดเบี้ยวในเลนส์โปรเกรสซีฟ ดังนั้นจะต้องมีการ mapping โครงสร้างเพื่อให้เห็นแนวของการจัดเรียงของเส้นสาย cylinder ว่าสมมาตรกันดีหรือไม่ มีการจัดเรียงถูกต้องกับการเหลือบดูใกล้หรือไม่ และมันไปรบกวนสนามภาพสำหรับใช้งานหรือไม่ มาดูโครสร้างกัน
Vision zones for Mono Plus 2
ต่อไปนี้เป็นการทำ contour plots เพื่อให้เห็นกำลังและทิศทางของการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาในเลนส์ Plus Technology ซึ่งทดทดสอบบนค่าสายตา sph 0.00 D cyl 0.00 D A
0° คือไม่มีสายตาเลย เพื่อจะได้ตัดตัวแปรที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ดังนั้นเส้นสาย cylinder ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกแบบโครงสร้างของโปรเกรสซีฟ ที่มีค่า add +0.50D เท่านั้น ว่ามามีการจัดเรียงอย่างไร รูปซ้ายมือเป็นการลากแนวเส้นค่ากำลังสายตาที่มีการเปลี่ยนแปลง และรูปขวามือนั้นใส่เฉดสี เพื่อให้เห็นทิศทางการกระจุกของ ค่ากำลังหักเห
Visual Acuity zone เป็นการทำ contour plots เพื่อให้เห็นว่า เนื่องจากตัวเลนส์นั้นเป็นโปรเกรสซีฟชนิดหนึ่งมีการไล่ค่ากำลังหักเหของแสงบนตัวเลนส์ ดังนั้นจะต้องมีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์คือภาพบิดเบี้ยวที่เกิดจาก obliqe astigmatism ซึ่งทำให้เกิดภาพไม่ชัด ดังนั้นจึงต้องทำการ plots เพื่อให้เห็นว่า มีสนามภาพใช้งานนั้นกว้างขนาดไหน หรือจุดที่มองเห็นชัด โดยไม่ถูกรบกวนจากโครงสร้างนั้นอยู่ตำแหน่งไหนบ้าง
จะเห็นว่า สนามภาพที่สามารถใช้งานได้โดยความคมชัดไม่ลดลงเลยนั้น มีเยอะมาก โดยเฉพาะสนามภาพมองไกลนั้นไม่มีอะไรมารบกวนเลย ส่วนสนามภาพในระยะใกล้นั้นก็กว้าง และมีความสเถียรภาพของการเปลี่ยนแปลงของค่ากำลังหักเห สังเกตจากการเรียงตัวของ แนว cylinder ที่ได้สมมาตร และอยู่ค่อนข้างห่างจากจุดดูใกล้ แสดงถึงโครงสร้างดูใกล้ที่กว้างมาก จะจุดที่เป็นภาพมัวนั้นอยู่ห่างจากสนามภาพใช้งานอยู่มาก ทำให้เราคาดได้ว่า เราจะสามารถปรับตัวกับโครงสร้างได้เกือบจะในทันทีที่ใส่
สองภาพล่างนี้เป็น contour plots แนวของ Obliqe Astigmatism ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบโครงสร้างโปรเกรสซีฟอย่างที่ผมเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วว่า โครงสร้างโปเกรสซีฟนั้น จำเป็นต้องมีภาพบิดเบี้ยวจาก Oblique Astigmatism ซึ่งจากรูปตัวอย่างนี้ เป็น Cylinder ที่เกิดขึ้นบนเลนส์ที่ไม่มีค่ายตา (sph 0.00 cyl 0.00 axis 0) ดังนั้นที่เราเห็นแนว เส้นของ cylinder เป็น astigmatism ทีเกิดจากการออกแบบโครงสร้างแบบโปรเกรสซีฟ
จากรูปจะเห็นว่า ที่สนามภาพมองไกลนั้น (+) ไม่มีภาพบิดเบี้ยวมารบกวนเลย แสดงถึงสภามภาพกว้างมากและไม่มีความคลาดเคลื่อนของกำลังหักเหเลยส่วนสนามภาพที่ระยะใกล้นั้น จัดว่ากว้าง โดยมีสายตาเอียงกวนอยู่บางๆ ประมาณ 0.35D อยู่รอบๆศูนย์กลางจุดมองใกล้ (BN) Max. Peripheral Oblique Astigmatism ของเลนส์ Mono Plus 2 อยู่ที่ 0.65D ซึ่งปริมาณของ Cylinder เท่านี้ ผู้ใช้จะสามารถปรับตัวเข้ากับโครงสร้างในทันทีที่ใส่ และจะไม่สึกถึงภาพบิดเบี้ยว จะไม่รู้สึกว่ามี Add ซึ่งเราจะรู้เมื่อเราเงยหน้ามองไกลผ่านโซนด้านล่าง ถึงจะรู้ว่ามีค่า add ด้านล่างของเลนส์
การสั่ง (oredering Data)
Lenses:
#การประกอบเลนส์ (Fitting)
#การสั่งเลนส์ (Ordering )
#Stampings and engravings
#lens Envelop
Mono Plus 2 เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นมา เพื่อช่วยลดกำลังเพ่งของเลนส์แก้วตา แทนที่จะต้อง full load +2.50D ที่ระยะ 40 ซม. แต่ Mono Plus 2 จะช่วยทอนกำลังเพ่ง 0.50D,0.80D และ 1.1D
นั้น เหมาะสมกับเด็กหรือผู้ใหญ่ยังไม่มีปัญหาเรื่องสายตาคนแก่ ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี และในเด็กที่มีปัญหาด้านกำลังเพ่ง และยังเหมาะสมกับคนไข้ที่มีปัญหาตาเหล่เข้าขณะดูใกล้ที่เกิดจากเลนส์ตาเพ่ง (Accommodative esophoria) โดย plus จะไปลดการ Accommodation ทำให้มุมเหล่าเข้าลดลง ดูใกล้ได้สบายตาขึ้น และมีงานวิจัยที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “Myopia control” คือเขาทำการศึกษาการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น และพยายามที่จะควบคุมมัน ซึ่งมีหลายวิธีที่ทำการศึกษา และวิธีหนึ่งที่ได้ผลและน่าสนใจคือ การใช้แว่นอ่านหนังสือ หรือ เพื่อลดให้การเพ่งของเลนส์ตา ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสามารถช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้นได้ ซึ่งถ้าต้องใช้แว่นมองไกลแยกกับแว่นอ่านหนังสือก็วุ่นวาย ดังนั้น Mono Plus2 น่าจะสามารถช่วยความสะดวกตรงนี้ได้ มองไกลชัด อ่านหนังสือมี Addช่วย และชะลอการเพิ่มของสายตาสั้นได้
ผู้ที่มีปัญหาสายตาคนแก่ (presbyopia) จริงๆอยู่ว่า Mono Plus 2 นั้นเป็นโครงสร้างโปรเรสซีฟ แต่ก็อ่อนเกินไปที่จะช่วย เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ที่เป็น presbyopia ที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีปัญหากับการใช้ชีวิตจริงๆก็มักจะมาตอนค่า addition ประมาณ 1.25D ส่วนในช่วงก่อนเวลานั้น คนไข้จะใช้การยื่นหนังสือออกไปแทน
คนที่เป็น high exophoria และเป็น High AC/A ratio เนื่องจากคนที่เป็น High AC/A หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงเลนส์ตานั้น ทำให้ Vergence ของกล้ามเนื้อตาเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นการใช้ plus ไปลด Accommodation ยิ่งจะทำให้เป็น Exophoria มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากคนไข้เป็น low AC/A นั่นหมายความว่า การใช้ addition เพื่อลดการ accommodation ไม่ได้ไปทำให้ exophoria @ near มีการเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด (หรือไม่ก็เล็กน้อย) และ ในความเป็นจริงส่วนใหญ่นั้น คนไข้ exophoria near ก็มักจะเป็นกลุ่ม convergence insufficiency ซึ่งมักจะเป็น low AC/A
มีในรุ่นไหนบ้าง
มี 2 รุ่นคือ Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono 2 และ Impression B.I.G. Norm/Exact Mono 2 ต่างกันที่ impression B.I.G. Norm/Exact Mono Plus 2 นั้นออกแบบโครงสร้างเฉพาะค่าสยาตาและพารามิเตอร์ของกรอบแว่นที่เลือก ส่วน Multigressiv B.I.G. Norm/Exact Mono Plus 2 นั้นออกแบบโครงสร้างโดยใช้ค่าพารามิเตอร์กรอบแว่นที่มาตรฐาน
ความคิดเห็นส่วนตัว
ดีมาก ไม่มี reject แม้แต่เคสเดียว และโครงสร้างดีมากๆ คนไข้ไม่เคยรู้สึกถึงภาพบิดเบี้ยว และหลายๆคนผมจ่ายเพื่อลด Accommodative Esophoria ก็ได้ผลดีมาก ก็เป็นเลนส์ที่ดีมากๆตัวหนึ่งที่น่าลงทุน และ เลนส์เหล่านี้ไม่เคยมีปัญหาแม้กับเคสที่ยากๆ เช่นสายตาเอียงมากๆ หรือ ต้องจ่ายปริซึมเพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อตา ก็ไม่ได้เกิด aberration จนทำให้คนไข้มีปัญหาปรับตัว เพราะจากประสบการณ์จ่ายนั้น ไม่มี reject ดังนั้น ถ้าใครจ่ายแล้ว fail ให้โทษตัวเองที่ตรวจสายตาหยาบ หรือ ประกอบเลนส์ หยาบเกินไป ไม่ใช่ปัญหาที่เลนส์
1.เลนส์ลดเพ่งดีอย่างไร มีอะไรต้องพิจารณา https://www.loftoptometry.com/whatnew/view/172
2.Biologic Intelligence Glassic ,B.I.G. technology :
part 1: https://www.loftoptometry.com/whatnew/B.I.G. Part i
part 2 : https://www.loftoptometry.com/whatnew/B.I.G. part ii
part 3 : https://www.loftoptometry.com/whatnew/B.I.G.part iii
3.Freeform technology : https://www.loftoptometry.com/whatnew/freeform technology
4.Aberration : https://www.loftoptometry.com/Eyecare/viewcase/aberration
5.พื้นฐานการออกแบบเลนส์ชั้นเดียว : https://www.loftoptometry.com/Eyecare/basicOfSingle lens design
ลากันไปเท่านี้ สำหรับบทความเกี่ยวกับเครื่องเทคโนโลยี Mono Plus 2 ต่อไปคงได้คุยกันในรายละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับกระบวนการขัดกันมากขึ้น และข้อดีข้อเสียของเลนส์แต่ละรุ่น อย่างละเอียด ส่วนวันนี้ขอลาไปก่อน ขอบคุณทุกท่านสำหรับกำลังใจและการติดตาม เจอกันใหม่ครับ
ดร.ลอฟท์
578 Wacharapol rd, Tharang , Bangkhen ,Bkk ,10220
Mobile : 090-553-6554
Line : loftoptometry (no @)
9/38-39 ถ.ศรีมาลา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร 66000
โทร 056611435
maps : https://g.page/SuthonOptic?share
(no social contact)
345/51 หมู่บ้านไวซ์ซิกเนเจอร์ ถ. รอบเมืองเชียงใหม่ ตำบล สันปูเลย อำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ 50220