สำหรับท่านที่ไม่ได้อยู่ในสายวิชาทัศนมาตรหรือคลินิกจักษุกรรม ก็อาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่าปริซึมสักเท่าไหร่และเมื่ออ่านบทความที่ผมเขียนถึงการแก้ไขปัญหาระบบการมองเห็นด้วยเลนส์ปริซึมแล้ว บางท่านอาจจะเกิดความสงสัยว่าเลนส์ปริซึมคืออะไร จ่ายให้ใคร จ่ายเมื่อไหร่ จ่ายอย่างไร เป็นต้น และอยากคำตอบเพื่อให้เข้าใจในการอ่าน case study มากขึ้น
เนื้อหาในคอนเทนท์นี้เป็น Question & Answer สั้นๆแบบพื้นฐานพอสังเขปเพื่อให้คนทั่วไปแม้ไม่เคยมีพื้นฐานด้านนี้มาก่อน ได้เข้าใจถึงหลักการและเหตุผลในการจ่ายปริซึม ซึ่งผมรวบรวมคำถามคนน่าจะอยากรู้ซึ่งเบื้องต้นก็คิดได้เท่านี้ หากท่านไหนอยากจะได้ข้อมูลเรื่องใด ก็สอบถามเพิ่มเติมใน inbox เข้ามาได้ใน facebook fanpage www.facebook.com/lofotptometry ยินดีตอบทุกความสงสัยครับ
A : Prism เป็นเลนส์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหลังคารูปจั่ว ซึ่งมีลักษณะของแท่งแก้วทรง 3 เหลี่ยม โดยมีด้านเรียบ 2 ด้าน ขอบด้านหนึ่งประกบกันเกิดเป็นมุมสามเหลี่ยมขึ้นมาเหมือนหลังคาจั่ว ด้านแหลมกว่าเรียกว่า ยอดปริซึม หรือ apex ส่วนที่ไม่บรรจบกันเรียกว่าฐานปริซึม หรือ base โดยยอดกับฐานอยู่ในทิศตรงกันข้ามอยู่แล้ว เราก็เลยเรียกเฉพาะฐาน (base) ว่าชี้ไปทางองศาไหน เช่น base in ,base out ,base up ,base down หรือ base@axis (0-360 degree)
A : เลนส์สายตาทำงานโดยบังคับ vergence ของแสงที่ผ่านตัวมันนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเลนส์บวก(นูน) Vergence จะลู่เข้าหากันเรียกว่า convergence ถ้าเลนส์ลบ(เว้า) vergence จะถ่างออกจากกันเรียกว่า Divergence เลนส์สายตาจึงพูดถึงระยะโฟกัสของเลนส์
ปริซึม ทำงานโดยบังคับให้แสงที่ผ่านตัวมันมีการเปลี่ยนตำแหน่ง (direction) โดย Vergence ไม่เปลี่ยน ส่งผลให้ภาพย้ายที่ได้โดยที่กำลังหักเหไม่เปลี่ยนหรือโฟกัสชัดไม่เปลี่ยน เลนส์ปริซึมจึงพูดถึงตำแหน่งของภาพที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของลูกตา
A : เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางที่มีดัชนีหักเหของแสงไม่เท่ากันในลักษณะทำมุมกับผิวสัมผัสจะเกิดการหักเหของแสง (แต่ถ้าตั้งฉากกับผิวสัมผัสจะไม่เกิดการหักเห) เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ดูรูปล่างประกอบ
ถ้าแสงวิ่งจากตัวกลางที่มี refractive index ต่ำ เช่นอากาศ ไปหาสูงกว่าเช่น กระจก แบบทำมุม แสงจะหักเหเข้าแนวปกติ
ถ้าแสงวิ่งจากตัวกลางที่มี refracitve index สูงกว่าเช่นแก้ว ไปสู่ตัวกลางที่มีดัชนีหักเหแสงต่ำกว่าเช่นอากาศ แสงจะเบนหนีออกจากเส้นปกติ
ปริซึมคือเลนส์ที่มีผิวเป็นกระจกราบ 2 ด้าน มีมุมด้านหนึ่งบรรจบกันเป็นจั่ว 3 เหลี่ยม เมื่อแสงเดินทางแท่งปริซึมที่วางอยู่ในอากาศ ก็จะมีการเดินทางขาเข้า (อากาศ>>ปริซึม) และขาออก (ปริซึม>>อากาศ) จึงเกิดการเบนของแสงไปหาฐาน เพื่อให้เห็นภาพโดยง่าย ดูรูปล่างประกอบ สมมติให้แสงขาเข้านั้นทำมุมฉากกับผิวแรกของปริซึม เพื่อให้แสงไม่เกิดการเบน แต่แสงขาออกจาก index สูง ไป index ต่ำ (ปริซึม>>อากาศ) จะเกิดแสงผ่านผิวสัมผัสแบบทำมุมเกิดขึ้นขึ้น ทำให้แสงมีการเลี้ยวเบนหนีจากแนวปกติ ผลคือแสงมีการหักเหเบนเข้าหาฐาน แต่คนที่อยู่หลังแท่งปริซึมจะเห็นภาพ (X) เลื่อนไปทางยอดปริซึม
A : อย่างที่พูดถึงไปตอนต้นว่า ปริซึมไปเปลี่ยน direction ของแสงแต่ไม่ได้เปลี่ยน vergence ดังนั้นคนไข้จะไม่รู้สึกเกี่ยวข้องกับความชัดหรือไม่ชัด แต่เขาจะเห็นตำแหน่งภาพย้ายที่เมื่อเทียบกับตาเปล่าที่ไม่ได้มองผ่านปริซึม
“แสง” ถ้าพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ภาพ” ที่เกิดจากแสงวิ่งไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนออกมาแล้ววิ่งผ่านปริซึมจะเบนเข้าหาฐานของปริซึม ส่วนผู้ที่ใส่ปริซึมอยู่ โดย sense แล้วตาไม่รู้หรอกว่า แสงเบนไปทางไหนเพราะเราไม่สามารถมองเห็นแสงวิ่งได้ (เว้นแต่ลำแสงเลเซอร์) แต่ที่เราเห็นได้ก็คือภาพของวัตถุที่แสงนำเข้ามาในตาเรา เราจะเห็นภาพของวัตถุนั้นมีการย้าตำแหน่งไปทางยอดของปริซึม
A : กำลังในการเบนแสงของปริซึมนั้น มันมองได้ 2 มุม คือถ้ามองที่ต้นทาง(จากตาของเรา) เราก็จะดูว่ามันย้ายจากฐานเดิมไปกี่องศาหรืออีกอย่างก็คือมองไปที่ปลายทางคือวัตถุว่ามันย้ายที่จากตำแหน่งเดิมไปกี่เซนติเมตรหรือกี่เมตร
ถ้ามองเป็นองศา 1 prism diopter = 0.57 องศา หรือ 1องศา = 1.57 prsm diopter
ถ้ามองเป็นตำแหน่งภาพย้าย 1 prism diopter จะทำให้ภาพของวัตถุที่อยู่ห่างออกไปจากเลนส์ปริซึมเป็นระยะ 1 เมตร ย้ายตำแหน่งไป 1 ซม. หรือ เขียนเป็นสมการได้ว่า P(pd)=x(ระยะภาพที่ย้ายตำแหน่งเดิมในหน่วย ซม.)/y(ระยะจากวัตถุถึงปริซึมในหน่วยเมตร)
ตัวอย่างการใช้งาน
ดังนั้นกำลังของปริซึมเรียกว่า prism diopter เขียนย่อว่า pd โดย 1 pd คือประปริซึมที่ทำให้แสงเบนไปจากตำแหน่งเดิม 1 ซม.ที่ระยะ 1 เมตร พูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่า เวลาเราใส่ 1 ปริซึม เราจะเห็นภาพย้ายไปจากตำแหน่งเดิม 1 ซม.ที่ระยะ 1 เมตร เมื่อเรามองวัตถุที่ห่างออกไป ภาพก็จะย้ายไกลมากขึ้นในอัตราส่วนคงที่คือ ถ้ามองที่ระยะ 10 เมตรก็ย้ายไป 10 ซม. ถ้ามองไปที่ 100 เมตร ก็ย้ายไป 100 ซม.(1เมตร) หรือถ้ามองไป 500 เมตร ก็ย้ายไป 500 ซม.(5 เมตร) ถ้าปริซึมมากกว่า 1 pd ก็คูณเอาว่าในแตละระยะภาพย้ายไปกี่เมตร
A : ปริซึมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง ทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการวัดค่าต่างๆ เช่นเครื่องวัดความดันตา goldman tonometer , keratometer เป็นต้น หรือ เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาความผิดปกติของระบบการมองเห็นเช่นเลนส์ปริซึมที่จ่ายให้กับคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อตา
A : ตาคนไม่ได้มีปริซึม แต่ปริซึมใส่เข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาการมองเห็นให้คน เหมือนกับเลนส์แว่นตาไม่ได้มีในลูกตา แต่ระบบหักเหแสงในลูกตาโฟกัสไม่ปกติ เราจึงใส่เลนส์เข้าไปเพื่อไขปัญหาโฟกัสของตา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “เพียงแค่เห็น” นั้น เราใช้ระบบประสาทตาพร้อมกันถึง 3 ระบบ คือ
ระบบหักเหแสง(refractive system) ว่าด้วยเรื่องแว่น คอนแทคเลนส์ ทำเลสิก
ระบบการมองสองตา(binocular function) ว่าด้วยเรื่องการบริหารกล้ามเนื้อตา การจ่ายเลนส์ addition และการจ่ายเลนส์ปริซึม
ระบบสุขภาพของตา (Ocular Health) ว่าด้วยเรื่องสุขภาพของตาทั้งส่วนกายภาพและระบบประสาทตา ว่าด้วยเรื่องการแก้ไขพยาธิสภาพด้วย ยา การผ่าตัด หรือ ปล่อยให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง
ถ้าพูดถึงแค่ตาข้างเดียว เราจะพูดถึงแค่ปัญหาสายตาที่เกี่ยวข้องกับความคมชัด หรือ refractive error ว่ามีสั้น ยาว เอียง อยู่เท่าไหร่ และพูดถึงเฉพาะการแก้ไขการหักเหแสง ไม่ว่าจะด้วย เลนส์สายตาย คอนแทคเลนส์ หรือการทำเลสิก ความมุ่งหวังสูงสุดคือเห็นรายละเอียดชัดถึงขีดจำกัดของตา หรือ Visual Acuity
แต่ตามีอยู่ 2 ข้างแต่เรากลับเห็นเป็นภาพเดียว ซึ่งเกิดจากการรวมภาพของสมองเกิดเป็นเรื่อง binocular vision ขึ้นมาโดยมีศักยภาพสูงสุดคือทำให้มีการมองเห็นแบบ 3 มิติได้หรือเห็น stereo ตาจึงต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ในคนที่ทำงานเป็นทีมดีอยู่แล้ว ก็คงไม่ต้องช่วยอะไร แต่ถ้าตาทั้งสองข้างไม่ค่อยสามัคคีกัน ก็ต้องอาศัยปริซึมเข้าไปช่วยสมานสามัคคี
ดังนั้น ปริซึมจะเข้ามาแก้ไขในส่วนของคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการมองสองตาที่ผิดปกติ ( binocular dysfunction)
A : เลนส์สายตานั้นมีปริซึมอยู่โดยธรรมชาติ เพราะเลนส์ก็มีการเบนแสงเหมือนกัน แต่ต่างกันที่การเบนแสงของปริซึมนั้น เบนไปในทิศเดียวไม่มี vergence ในขณะที่เลนส์สายตามีลักษณะการเบนลู่หากันหรือเบนหนีออกจากกันเรียกว่ามี Vergence
ดังนั้นคุณสมบัติของปริซึมก็คล้ายๆกับมีปริซึม 2 ชิ้นมาประกอบกัน ถ้าเป็นเลนส์บวกก็เหมือนเอาฐานมาประกอบกัน แสงเบนหาฐาน แสงก็เลยวิ่งมาตัดกันเป็นจุดโฟกัส ถ้าเลนส์ลบก็เหมือนกับเอายอดมาชนกัน เมื่อแสงเบนหาฐาน แนวแสงก็เลยเบนหนีออกจากกัน แต่เลนส์สายตาไม่ใช่เลนส์ปริซึมประกบกันทื่อๆแบบนั้น
ถ้าจะลงลึกไปกว่านี้ก็คือว่า แสงที่วิ่งผ่านปริซึมยิ่งห่างจากยอดหรือฐานมากขึ้น กำลังในการหักเหแสงก็มากขึ้นได้ ซึ่งคำนวณได้จากสมการ P=cF โดย P คือกำลังของปริซึมในหน่วย prism diopter , c คือระยะที่หลุดจากเซนเตอร์ของเลนส์ในหน่วย Centimeter และ F คือกำลังหักเหของเลนส์สายตาในหน่วย Diopter
ดังนั้นถ้าเลนส์สายตาเกิดจากปริซึมมาประกบกัน แสงในแต่ละจุดที่วิ่งตัดเลนส์สายตาที่ระห่างจากเซนเตอร์ไม่เท่ากัน จะไม่ไปรวมกันเป็นจุด จึงพูดได้เพียงแค่ว่า “คล้ายๆ” คือมีคุณสมบัติของปริซึมแต่ตัวมันไม่ได้เกิดจากเลนส์ปริซึม
ส่วนที่บริเวณ(คล้าย)ฐานปริซึมมาชนกันของเลนส์บวกหรือจุด(คล้าย)ยอดของปริซึมมาชนกันของเลนส์ลบนั้น เป็นตำแหน่งที่ ปริซึมมีค่าเป็นศูนย์ เราเรียกตำแหน่งนั้นว่า optical center หรือเซนเตอร์ของเลนส์นั่นเอง
เมื่อเราต้องการประกอบเลนส์ให้ตาเห็นชัดโดยไม่ได้รับผลกระทบจากปริซึม เราก็ต้องวางเซนเตอร์ของเลนส์ให้อยู่ตรงกลางรูม่านตา เราก็รอดพ้นจาก prism effect ซึ่งค่าที่จำเป็นในการประกอบให้ได้เซนเตอร์คือระยะห่างระหว่างรูม่านตาของทั้งสองข้างโดยวัดแยกข้าง หรือ Monocular Pupillary Distant (เหมือนแกน x) และค่าตำแหน่งตาในแนวแกน y คือระยะ fitting height หรือ FH ซึ่งวัดจากขอบล่างของเลนส์แว่นจนถึงตำแหน่งตาดำ ดังนั้นตำแหน่งที่จะวางเซนเตอร์คือจุดตัดของแกน x,y นั่นเอง
ถ้าเซนเตอร์ไม่ตรงก็จะได้เลนส์ปริซึมไปโดยปริยาย ถ้าปริซึมนั้นบังเอิญเกิดไปตรงกับตาเหล่ของตัวเองก็สบายไป แต่ถ้าปริซึมกลายไปเป็นส่วนเกิน กล้ามเนื้อตาและระบบการมองสองตาก็พังกันไปข้างหนึ่ง
ดังนั้นคิดให้ดีก่อนที่จะซื้อแว่นสำเร็จรูปมาใช้ ระยะยาวแล้ว ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าใครคิดว่าตาตัวเองไม่มีค่าพอกับการใส่แว่นดีๆที่ได้มาตรฐาน ผมขอซื้อต่อได้ไหม ขายเท่าไหร่ดี มีคนที่มีปัญหาตามากที่เขาต้องการอวัยวะสำรองและยอมจ่ายขอให้ได้มองเห็น ซึ่งผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจนคงไม่มีใครคิดขายตาตัวเอง ถึงแม้จะมีคนขอซื้อกี่ล้านก็ตามแต่หรือบางทีคนเราอาจซาดิส ชอบทำลายดวงตาตัวเอง แต่ขายทิ้งก็ไม่ยอม แปลกดี
คนส่วนใหญ่เวลาจะซื้อจอทีวีเอาให้ชัดที่สุด 5K 8K กี่หมื่นกี่แสนก็จ่ายใช้ปีสองปีก็มีรุ่นใหม่ที่ชัดกว่ามาอีกแล้วและราคาถูกลงด้วยขายต่อก็ไม่ได้ราคา หรือซื้อมือถือ iPhone ก็เอาแข่งกันที่หน้าจอชัดถ่ายรูปชัดๆราคาครึ่งแสนใช้ได้สองปีก็มาใหม่อีกแล้วซื้อใหม่อีกหรือแม้แต่คนที่เล่นเครื่องเสียงกับการจ่ายเงินหลายหมื่นหลายแสนหรือเป็นล้านให้กับสายสัญญาณเพื่อให้ได้เสียงที่ดีขึ้นไม่กี่ % ก็ยอมจ่าย แต่จะทำเลนส์สายตาดีๆให้ตัวเองได้เห็นชัดๆสบายๆ ใช้งานสบายๆ 3-4 ปี ถ้าเกินหมื่นนี่ก็คิดว่าแพงแล้ว ก็น่าสนใจ
ผมมานั่งคิดเรื่องการให้ value กับสุนทรียะแล้ว ต่างคนก็ต่างให้คุณค่ากับแต่ละเรื่องไม่เหมือนกันจริงๆ บางทีคนเราอาจจะอยากใช้ของที่คนอื่นก็สามารถสัมผัสได้ จะได้แชร์ประสบการณ์ เช่นกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เสื้อผ้าอาภรณ์ มือถือ รถยนต์ อะไรก็ตามที่เป็นของภายนอกที่ผู้อื่นจับต้องได้ แพงเท่าไหร่ก็ make sense เรียกว่ารสนิยม ทั้งนี้ก็อาจจะคิดว่า จะได้ show-off ถึงสิ่งที่ตนเองมี เพื่อที่จะได้รับการยอมรับก็ได้ ส่วนเลนส์สายตามันเป็นของเราคนเดียว แก้ปัญหาของเราคนเดียว ประสบการณ์เราคนเดียว คนอื่นมาลองแว่นเราไม่ได้ จ่ายกี่หมื่นก็ไม่มีใครมาเห็นกับเรา ทำแว่นให้ดีก็ดีอยู่คนเดียว โชว์คนอื่นไม่ได้ ก็เลยมุ่งเฉพาะส่วนที่โชว์ได้คือกรอบแว่น ส่วนเลนส์เอาไว้ก่อน ไม่ต้องดีมาก ใครตรวจก็ได้ เอามาแก้ขัดไปก่อนแบบนี้ก็มี ก็นุ่นแหล่ะ ถ้าทนไม่ไหวหรือตาจะพังแล้วค่อยมองหาของดีๆ แต่ผมไม่ได้อะไรนะ รสนิยมไม่มีถูกไม่มีผิด ถ้าทำแล้วมีความสุขและไม่เป็นโทษกับตัว ก็คือว่าดีหมดครับ
A : คนที่มีตาเหล่ไม่ว่าจะตาเหล่(tropia)หรือเหล่แบบซ่อนเร้น(phoria) หมายความว่า ตำแหน่งพักหรือตำแหน่งสบายของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างนั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งตาตรงหรือตำแหน่ง orthophoria แต่เป็นตำแหน่งอื่นๆ เช่น ถ้าตาชอบพักที่ตำแหน่งหลบในเรียกว่าเหล่เข้า (eso-phoria/tropia) ถ้าตาชอบพักที่ตำแหน่งหลบออกเรียกว่าตาเหล่ออก (exo-phoria/tropia) หรือตาชอบพักในตำแหน่งตาลอยขึ้นหรือตกลงเรียกว่าเหล่ในแนวดิ่ง (Hyper(Hypo)-phoria/tropia มุมที่เหล่ออกไปจากศูนย์หรือตำแหน่ง ortho เราวัดหน่วยเป็นมุมปริซึม หน่วยเป็นอย่างไรนั้นก็เหมือนที่ได้อธิบายกำลังของปริซึมไปแล้ว
A : แม้คนที่มีตาเหล่ หรือ เหล่ซ่อนเร้น จะมีตำแหน่งพักที่สบายในตำแหน่งต่างๆที่ไม่ใช่ตำแหน่งตาตรง แต่ตำแหน่งที่อยากจะพักนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งที่สามารถพักได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดการรวมภาพไม่ได้ จนกลายเป็นภาพซ้อนเรียกว่า diplopia เพราะภาพโลกใบนี้ที่เราเห็นเป็นภาพเดียวนั้น มีพื้นฐานจากภาพ 2 ภาพของตาแต่ละข้าง แต่สองภาพนั้นถ้าตาของเราอยู่ในตำแหน่งมองตรง สมองจะได้รับภาพจากตาแต่ละข้างที่มีหน้าตาคล้ายกันบางส่วนและต่างกันบางส่วนและถ้าสองภาพนั้นอยู่ตำแหน่งใกล้กันมากพอ สมองก็จะเชื่อว่าเป็นภาพเดียวกัน สมองจึงทำหน้าที่บังคับตาเพื่อให้ภาพของแต่ละข้างมาอยู่ใกล้กันให้มากพอ เพื่อให้มารวมภาพเดียว ตาในสภาวะปกติก็เลยตรง
ในทางตรงข้าม ถ้าตาหนีไปพักกันคนละทิศละทางทำให้ภาพที่ตาขวาและตาซ้ายเห็นนั้นมีส่วนที่คล้ายกันอยู่ห่างกันมา ถ้ามากพอ สมองจะไม่เชื่อว่าเป็นภาพเดียวกัน หรือ พยายามดึงตาให้ตรงไม่ได้ คนไข้ก็จะเห็นเป็นภาพซ้อนกัน จะซ้อนเข้า ซ้อนออก ซ้อนขึ้นลง ก็อยู่ที่ว่าตำแหน่งเหล่อยู่แนวไหน
A : คนที่มีตาเหล่ เมื่อมองวัตถุที่ระยะต่างๆ ก็ต้องอาศัยแรงของกล้ามเนื้อในการดึงตาให้ตรงด้วยแรงที่เท่ากับแรงหนีศูนย์(มุมเหล่)เพื่อให้ภาพ alignment อยู่ในตำแหน่งตาตรง ถ้าดึงไหวเรียกว่าเหล่ซ่อนเร้น คือไม่สามารถเห็นได้ว่าเหล่ในภาวะการมองพร้อมกันสองตา ถ้าดึงไม่ไหวก็จะเห็นภาพซ้อนเรียกว่า tropia เราก็จะเห็นเลยว่าคนนี้เป็นคนตาเหล่
อุปมาเหมือน รถเสียศูนย์คือรถมันชอบเลี้ยวหนีศูนย์จากตรงแล้วจะลงข้างทาง เราไม่สามารถปล่อยรถให้ชอบหนีศูนย์ให้อิสระได้ เราก็ต้องพยายามดึงพวงมาลัยให้ตรงทาง แต่ดึงนานๆ ก็เหนื่อย หรือถ้าดึงไม่ไหวก็ไหลลงคลอง ฉันไดก็ฉันนั้น
ถ้าขยายความถึงอุปมาคนขับรถ ถ้าจะไม่ให้รถลงคลอง มีอยู่ 3 วิธี คือ ตั้งศูนย์ใหม่ (ผ่าตัด) เข้าฟิตเนสยกเวตเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อในการเย่อพวงมาลัย ( Visual training) และ ย้ายถนนไปตามแนวล้อ ล้ออยากเลี้ยวไปไหนก็สร้างถนนตาม (การจ่ายปริซึม) ซึ่งก็ต้องดูแบบ case by case ว่าใครเหมาะกับแบบไหน
A : ปริซึม ทำให้ภาพย้ายตำแหน่ง ดังนั้นภาพที่ย้ายตำแหน่ง ส่งผลกับคนไข้ทั้งในส่วน บังคับให้ตาย้ายไปหาภาพ (cause eye turn in direction ) หรือ ปล่อยให้ตาอยู่ในตำแหน่งที่ชอบแล้วภาพย้ายไปหาเอง (allow eye turn free direction)
การบังคับ (cause eye turn direction)
การบังคับตาให้วิ่งไปหาภาพน้ัน เราใช้เมื่อต้องการฝึกกล้ามเนื้อตาให้แข็งแรง คือไป stress มันเพื่อให้มันสู้ ยิ่งมันแข็งแรงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสู้ได้มากเท่านั้น พอมันแข็งแรงแล้วมันก็เอาแรงนี้ไปใช้ในยามปกติ เหมือนการเข้าไปฟิตเนสเพื่อยกเวท ก็เพื่อให้กล้ามเนื้อมัน stress กว่าปกติแล้วสร้างกล้ามเนื้อส่วนเกินกว่าการใช้งานในยามปกติ เพื่อเอาแรงที่ได้ไปใช้ชีวิตในยามปกติ ทั้งทางตรงคือยกของหนัก หรือทางอ้อมคืออวดหนุ่มอวดสาว ก็ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งคู่ แต่ไม่มีใครเขาจ่ายแว่นปริซึมให้ตรงข้ามกับตำแหน่งสบายของตาเพื่อไปบังคับกันนะ ส่วนใหญ่จะใช้เป็น lens flipper เอา
การปล่อย (allow eye turn freedom)
การปล่อยให้ตาได้อิสระในตำแหน่งที่ชอบนั้น เป็นการจ่ายปริซึมเพื่อแก้ไขปัญหาตาเหล่หรือเหล่ซ่อนเร้น เพื่อลด demand ของกล้ามเนื้อตาที่จะต้องออกแรงสู้กับตาเหล่ เพื่อลดอาการเครียดหรือความล้าของกล้ามเนื้อตา ด้วยการใช้ปริซึมย้ายภาพไปหาตำแหน่งสบายของตาก็คือตำแหน่งของ phoria นั้นเอง
เช่นคนไข้มีตาเหล่ในแนวดิ่ง หรือมี vertical phoria สมมติให้เป็นตาขวาที่เป็น hyperphoria ซึ่งตำแหน่งสบายคือลอยตัวสูงขึ้นกว่าตาซ้าย ซึ่งถ้าปล่อยไว้แบบนั้น สมองจะไม่สามารถรวมภาพเป็นหนึ่งได้ และเกิดเป็นภาพซ้อน (diplopia) ปริซึมจะไปทำหน้าที่ย้ายภาพของตาขวาขึ้นไปหาตำแหน่งสบายของเขาด้วยการใช้ base down ทำให้กล้ามเนื้อของตาขวาไม่ต้องออกแรงดึงตาลงมาหรือออกแรงน้อยลง ก็จะช่วยให้คนไข้ไม่เกิดภาพซ้อนได้
ดังนั้นการจ่ายปริซึม ควรจะต้องประเมินว่า คนไข้เป็นตาเหล่ประเภทไหนและควรที่จะ training ก่อนเพื่อเพิ่มแรงของกล้ามเนื้อหรือจะจ่ายปริซึมเพื่อลด demand ในการดึงกล้ามเนื้อ เพราะในเหล่แต่ละมุมนั้น บางกล้ามเนื้อฝึกได้ บางกล้ามเนื้อฝึกยาก บางกล้ามเนื้อฝึกไม่ได้ ซึ่งเรียงจากยากไปง่าย ได้แก่ hyperphoria>>esophoria>>exophoria ตามลำดับ
ส่วนการจ่ายในทางคลินิกนั้นมีเรื่องที่จะต้อง monitor เยอะมาก คงไม่เหมาะที่จะนำมาเขียนในเรื่องนี้ ไว้เป็นโอกาสหน้าผมจะค่อยๆนำมาเขียนเป็นส่วนๆไป
A : ความกังวลใจจากการคิดเอาเองของเราว่า “ถ้าตาชอบหนีศูนย์คือมีเหล่ซ่อนเร้น แล้วเราเอาปริซึมไปให้เขาเพื่อให้เขาไม่ต้องออกแรง ก็แสดงว่าตาเขาก็จะอยู่เฉยๆตำแหน่งนั้น นานๆเข้ากล้ามเนื้อเขาจะอ่อนแรงมากขึ้นหรือเปล่า”
ความคิดข้างต้นนี้นั้น เป็นความมโนไปเอง เพราะว่ามนุษย์เรานั้นมีกิจกรรมที่ต้องใช้ Vergence ทั้งวันอยู่แล้วและในชีวิตประจำวันนั้น มันก็มีวัตถุในระยะต่างๆให้มอง เช่นขับรถมองไกล ดูกระจกข้างมองกลาง ดูคอมพ์ ดูมือถือใกล้เข้ามา ดูหนังสือก็ดูใกล้ ทำให้ตามันมีกิจกรรม convergence /Divergence ทั้งวันมีการทำงานของระบบ positive / negative fusional vergence ทั้งวันอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่ามันจะอยู่เฉยๆจนอ่อนแรง มันได้ทำงานทั้งวันแน่นอน เว้นเสียแต่ว่า จะใส่เลนส์ปริซึมแล้วเมากาวนั่งดึงดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งวันทั้งคืน อย่างนั้นน่าจะเป็นบ้าก่่อนที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การจ่ายปริซึมที่ over correction จะไป induce ให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาอีกรูปแบบหนึ่ง
ก็คล้ายกับการจ่ายเลนส์ที่เกินความผิดปกติจริงก็จะ induced ให้เกิดความผิดปกติของสายตาอีกชนิดหนึ่งเช่น สายตาสั้นถ้าจ่ายเลนส์ลบเกินจริงส่วนเกินนั้นก็จะทำให้คนไข้มีอาการของคนสายตายาว คนสายตายาวแล้วไปจ่ายเลนส์บวกที่มากเกินจริงก็จะทำให้เกิดอาการมัวเหมือนคนสายตาสั้น หรือคนสายตาเอียงในแกนหนึ่งถ้าจ่ายเอียงมากเกินไปสายตาเอียงจะย้ายแกนไปอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นต้น
การจ่ายปริซึมที่เกินความผิดปกติหรือเกินความเหมาะสม ก็จะสร้างปัญหาใหม่ให้เช่นกัน เช่น ถ้าคนไข้เป็น Right Hyper 5 pd BD OD แล้วเราไปจ่าย 7 pd BD OD ก็จะทำให้ตาขวากลับจาก Hyperphoria เป็น Hypophoria แทน หรือถ้าคนไข้มีเหล่เข้า แล้วเราจ่าย prism base out เกินไป ก็จะทำให้ตากลายเป็นเหล่ออกซ่อนเร้นแทนและจะลามหนักไปถึงการเกิดภาวะ prism adaptation นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทำให้เรากลัวที่จะจ่ายปริซึมถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เพราะการจ่าย over prism corretion มันไม่ได้มีสัญญาณบอกว่าชัดไม่ชัดเหมือนกับเลนส์สายตา ส่วนความรู้สึกตึงไม่ตึงก็ว่ากันที่ความรู้สึกวัดเป็นหน่วยออกมาไม่ได้ ส่วนใหญ่การจ่ายปริซึมจึงเกิดจากประสบการณ์ที่มีวิชาการเป็นพื้นฐาน มีการคำนวณที่แน่นอนและมีเคสที่มากพอ จึงจะทำให้การจ่ายเลนส์ปริซึมประสบความสำเร็จ
A : ถ้าเราถามว่ามีดปอกผลไม้กับมีดอีโต้อย่างไรดีกว่ากันก็เป็นเรื่องเดียวกันว่าไม่มีอย่างไหนดีกว่าขึ้นอยู่กับ "หน้าที่และบริบท" ว่าจะเอามีดไปทำอะไร ถ้าจะเอาไปปลอกหรือหั่นผลไม้ก็ใช้มีดปอกผลไม้ แต่ถ้าจะตัดไม้ก็คงต้องใช้มีดอีโต้ จะเอาไปใช้ผิดหน้าที่กันไม่ได้ เพราะนอกจากไม่ได้งานแล้ว มีดยังจะพังอีกด้วย
แม้ว่าปริซึมจะสามารถย้ายภาพเพื่อแก้ไขให้คนไข้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาได้ แต่ก็แก้ได้ในมุมเหล่ที่ไม่ใหญ่มาก โดยปกติทั่วไปแล้วเลนส์สายตา สามารถสั่งทำปริซึมได้รวมตาสองข้างแล้วต้องไม่เกิน 10 prism diopter เพราะถ้าหากเกินกว่านี้แล้วนอกจากเลนส์จะหนามากแล้ว optic ที่ได้ก็จะไม่ดีมากๆ เพราะเราจะมองตัวหนังสือเป็นขอบรุ้งจาก chromatic aberration ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากปริซึมและพอมันกวนกันมากๆ ตาก็ไม่ยอมรวมภาพ สุดท้ายก็กลับไปเหล่เหมือนเดิม ดังนั้นถ้ามีมุมเหล่มากเกินกว่าที่เลนส์ปริซึมจะจ่ายได้ ก็ต้องไปรับการผ่าตัด
การผ่าตัดก็เช่นกัน เนื่องจากการผ่าตัด ต้องใช้การเลาะจุดยึดกล้ามเนื้อตาเดิม (recession) แล้วสร้างจุดยึดกล้ามเนื้อใหม่ (resection) ซึ่งก็สามารถทำได้ทั้งเพื่อเพิ่มแรงกล้ามเนื้อตามัดใดมัดหนึ่งหรือลดแรงดึงของกล้ามเนื้อตามัดใดมันหนึ่ง เมื่อให้ทุกมัดนั้นทำงานบาลานซ์กันมากขึ้นและการขยับจุดยึดให้ตึงหรือร่นให้หย่อนแต่ละมิลลิเมตรนั้นสามารถลดแรงหรือเพิ่มแรงดึงได้มาก การผ่าตัดจึงเหมาะกับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาตาเหล่ชนิด tropia แต่ถ้าเป็นเหล่ซ่อนเร้นแบบ phoria มีดผ่าตัดก็ดูจะใหญ่เกินไปสำหรับปัญหาที่เป็น ดังนั้น ในบางเคสอาจจะต้องผ่าตัดเพื่อลดมุมเหล่แล้วขาดเหลือเท่าไหร่ก็ค่อยจ่ายปริซึม เพื่อรักษาต่อไป
ปริซึมเอาไว้ช่วยให้คนมีปัญหาตาทั้งสองข้างไม่ค่อยสามัคคีกัน โดยปริซึมจะไปทำให้เกิดการรวมใจช่วยกันทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้น แต่ใครมีตาสองข้างที่ทำงานร่วมกันได้ดีอยู่แล้ว ปริซึมก็ไม่จำเป็นเพราะจะกลายเป็นตัวยุยงให้แตกความสามัคคีกันเปล่าๆ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การ induce prism จากการประกอบเลนส์ที่ไม่ได้เซนเตอร์ ซึ่งมีอยู่ 2 เรื่องที่อยากเน้นย้ำคือ ผู้บริโภคอย่าไปซื้อแว่นตาสำเร็จรูปเพราะมันประกอบเสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้เซตเซนเตอร์และช่างแว่นตาที่ประกอบแว่น อย่าใช้ PD ,FH แบบกะๆ เอา เพราะผลกระทบที่เกิดตามมานั้นมันมากเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบตาเขาไหวและ PD จากตาข้างหนึ่งถึงกลางจมูกของตาขวาและตาซ้ายมักไม่เท่ากัน ดังนั้นให้ใช้ monocular pd ในการประกอบเลนส์เสมอ ก็จะช่วยลดปัญหาจาก prism effect ได้
คอนแทคเลนส์ เซนเตอร์อยู่กลางตาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเคลื่อนตาไปทางไหนเซนเตอร์ก็ไปตาม ดังนั้น prism effect จึงไม่เกิดกับคอนแทคเลนส์ บางคนจึงอาจรู้สึกสบายเมื่อใส่คอนแทคมากกว่าแว่นของตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเอาแว่นไปเช็คเซนเตอร์หน่อยก็ดีว่าศูนย์มันตรงหรือเปล่า ถ้าศูนย์ไม่ตรง ก็เรียกได้ว่าเป็นการยัดเยียดตาเหล่ให้กับเรา
เอาหล่ะคิดว่าพอสมควรแก่เวลา เอวังก็คงมีด้วยประการฉะนี้ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพจทุกท่านที่ช่วยให้กำลังใจในการติดตามด้วยดีเสมอมา ไม่ไลค์ ไม่แชร์ ไม่เป็นไร แค่อ่านแล้วท่านมีความรู้ที่จะไปดูแลคนไข้หรือลูกค้าของท่านหรือคนไข้ก็ได้รู้ปัญหาของตัวเอง เพราะจุดมุ่งหมายสูงสุดไม่ได้อยู่ที่ยอดไลค์ ยอดแชร์ แต่อยากเห็นวงการแว่นตา วงการทัศนมาตรและสาธารณสุขด้านสายตาในประเทศไทยถูกยกระดับมาตรฐานให้เทียบเท่าสากล เราจะได้เป็น Heath Hub แบบไม่อายฝรั่งต่างชาติเขา
เมื่อเสร็จกิจแล้วผมก็จะวางทุกอย่าง โปรเจ๊คปัจจุบันคือเก็บเงินซื้อที่ดินเพื่อปลูกป่า เตรียมการอนาคตเพื่อศึกษาป่า เข้าป่าเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ต่อไป เขาว่าการให้ปัญญาเป็นทานนั้นชนะทานทั้งปวง ท่านก็สามารถอนุโมทนาทานนี้ได้ด้วยการแชร์ทานคือปัญญานี้ออกไป ก็จะได้รับบุญเช่นกัน เหมือนที่พุทธเจ้าตรัสว่า การให้ปัญญาหรือแผ่เมตตาก็เหมือนการต่อเทียน เทียนที่ต่อออกไปไม่เคยทำให้ความสว่างของเทียนเริ่มต้นลดลง ยิ่งต่อออกไปมากแสงสว่างแห่งปัญญาก็สว่างมากขึ้นจากเทียนแต่ละเล่ม เมื่อแสงสว่างพรึบคืนมา ความมืดมิดของอวิชชาก็จางหายไป เกิดความสว่างไสวสวยงามให้กับโลกต่อไป จนวันหนึ่งที่เทียนต้นหมดไส้ ไฟก็ดับลง แต่ความสว่างก็ยังคงอยู่จากการต่อเทียน ฉันไดก็ฉันนั้น
ดร.ลอฟท์ O.D. ,ปธ.3
578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม.10220
www.facebook.com/loftoptometry
lineid: loftoptometry
mobile : 090 553 6554
Google Maps