จากเคสจริง ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ รูปที่เอามาให้ดูเป็น รูปปกนั้น ไม่ใช่รูปดวงจันทร์กำลังถูกระเบิดนิวเคลียร์ถล่มแต่อย่างได แต่เป็นจอประสาทตาที่ถูกทำลายจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเคสที่ผมเองก็เคยสงสัยว่า แสงจากดวงอาทิตย์มันสามารถ burn จอประสาทตาให้พังได้ขนาดนี้กันเลยหรือ เพราะในมุมมอง sense ของคนทั่วไปนั้น ดวงอาทิตย์ก็แค่ object หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายล้านปีแสง จะมีพลังมากพอที่จะมาทำลายจอประสาทตาเราได้อย่างไร ทำให้บางคนเวลาหมอบอกว่าอย่ามองแสงอาทิตย์เราก็จะรู้สึกว่า ฉันเก่ง ฉันทำได้ ฉันสามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าได้ ไม่เห็นเป็นไร กลายเป็นมีพวก อวิชชาบางกลุ่ม อ้างว่าฝึกสายตาให้เข็มแข็งด้วยการมองดวงอาทิตย์ ยิ่งทนมองได้มาก ตาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง สุดท้ายก็จบด้วยอาการจอประสาทตาถูกทำลายจนตาบอดในที่สุด ที่เป็นห่วงที่สุดก็คงจะเป็นคนที่ใส่เลนส์กันแดดอยู่แล้วอยากจะโชว์เหนือคิดว่าแว่นกรองอยู่ ไปเผลอมองดูดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงๆ คงมี retinal burn กันบ้างหล่ะ
ในเคสนี้ คนไข้ไม่ได้ตั้งใจมองแสงอาทิตย์ด้วยความคึกคะนอง แต่มีเหตุและกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนคือ เกิดสุริยคราส ดวงจันทร์เข้าบดบังแสงอาทิตย์ ซึ่งหลายสิบปีจะมีสักครั้งหนึ่ง และด้วยความไม่รู้ถึงอันตราย คุณครูก็พาเด็กๆ ออกมาชมความสวยงามของ สุริยคราส แม้ว่าครูจะให้ฟิล์มดำกรองแสงบางส่วน แต่อาจด้วยคุณภาพฟิล์มที่ไม่ดีผลคือ "จอดับ" ในไม่กี่วินาทีหลังจากมองดวงอาทิตย์
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างดีสำหรับคนยังไม่ตระหนักถึงอันตรายจากแสงพลังงานสูงต่างๆ ที่เข้ามาทำลายดวงตา ทำให้ไม่ทันระวัง สุดท้ายก็อาจรุนแรงถึงสูญเสียการมองเห็นได้ อย่างในเคสที่นำมายกตัวอย่างนี
คนไข้หญิง อายุ 78 ปี ต้องการทำแว่นใหม่ เพราะแว่นที่ใช้อยู่นั้น มองไกลเริ่มไม่ค่อยดี ดูทีวีก็เริ่มไม่ค่อยได้ และด้วยการที่เป็นคนชอบอ่านสือก็อ่านนานไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยชัด แสบตา น้ำตาไหล
คนไข้เสียตาขวาเสียไปตั้งแต่อายุ 15 ปี เนื่องจากดูสุริยคราส ด้วยฟิล์มที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้จอประสาทตาไหม้และเสียถาวรมาตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันพบจักษุแพทย์เป็นระยะเนื่องมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็ก ผ่านหมอตามามากมายหลังจาก จอดับจากดวงอาทิตย์ และช่วงหลังต้องพบแพทย์จาก เมื่อ 7 เดือนก่อนหมอวินิจฉัยว่าเริ่มเป็นต้อหิน และรักษาด้วยการหยอดยา Xalatant (Latanoprost) ก่อนนอน และหมอนัดติดตามอาการทุกๆ 6 เดือน
มีประวัติ severe dry eye จากการสัมผัสสารเคมี ซึ่งดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องหยอดน้ำตาเทียมเมื่อมีอาการ
สุขภาพโดยรวมดี ไม่มีเบาหวาน ความดันปกติ ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี
ออกกำลังกายตอนเช้าทุกวัน ใช้สายตาทั่วไป ชอบอ่านหนังสือ
VAsc : OD 20/400 ( ให้มองผ่าน pinhole แล้วไม่ดีขึ้น )
OS 20/200 , 20/100 w/ pinhole (ดีขึ้นเล็กน้อย)
OD +1.75 - 3.25 x 90 VA 20/150
OD +2.50 -2.50 x 60 VA 20/30
OD +1.75 - 3.25 x 90 VA 20/150 (PH มองไม่เห็น)
OS +2.50 -2.50 x 60 VA 20/30 (PH แล้วไม่ดีขึ้น)
Add +2.25
Binocular Function : N/A ; ไม่จำเป็นต้องตรวจเนื่องจากตาขวาบอดไปแล้ว ไม่มี binocular function
Lids/lash : clear /clear
Lens : cortical cataract both eye ( พบเป็นต้อกระจกชนิด cortical cataract ตั้งแต่เห็นแสง retro-illuminate จาก Retinoscope /DNeye และตรวจด้วย slit lamp ก็พบเนื้อเลนส์มีลักษณะ Spocky , cloudy )
Anterior Chamber angle depth : มุมกว้างปกติ Grade 4 ทั้งด้าน temporal angle และ nasal
C/D ratio : OD N/A , OS 0.3 : cup ตาซ้ายของคนไข้ก็ดูไม่ได้ใหญ่ มุมระบายน้ำตาก็ไม่ได้แคบ ความดันตาก็ปกติ แต่ก็ยังเป็นต้อหินได้ ดังนั้นโรคเฉพาะทางนั้นต้องให้แพทย์เฉพาะทางเป็นคนดูเท่านั้น เพราะหมอเฉพาะทางจะมี criteria ในการประเมินที่ละเอียดกว่า primary care การทำงานของหมอปฐมภูมิ
OD ; Retinal Burn , loss fovea light reflect ,cloudy image (cause of cataract) : fovea reflect หายไป เห็นรอยความเสียหายบริเวณจอรับภาพเสียหายจากการดูดวงอาทิตย์ด้วยฟิล์มที่ไม่ได้มาตรฐานและภาพถ่ายดูแล้วฟุ้งๆ ไม่คมชัด จากต้อกระจกชนิด cortical cataract
OS : cloudy image cause of cataract ตาฝั่งซ้าย fovea มองไม่ชัด ภาพถ่ายดูเป็นหมอก จากต้อกระจก แต่ขั้วตาดูปกติดี มีจุด drusen จากความเสื่อมชราตามวัย ส่วนที่ macula มองไม่ชัดจากรูปถ่ายที่ไม่ค่อยชัด
HOA สำหรับคนไข้ท่านนี้ ถือว่า ฟุ้งตลอดเวลา ไม่ว่ารูม่านตาจะหดหรือจะขยาย เนื่องจากเลนส์ตาที่ขุ่น ทำให้แสงเกิดการฟุ้งกระจายในทุกสภาวะแสง ที่อยากจะเตือนก็คือว่า ในคนไข้ที่เป็นต้อกระจก ดังนั้นสำหรับท่านที่ชื่นชอบในการเชียร์ขายเทคโนโลยีเลนส์ว่า DNEye technology มันจะช่วยลดแสงฟุ้ง ให้ดูด้วยว่ามันฟุ้งจาก refractive error หรือมาจาก pathogenic เพราะถ้าเกิดจากพยาธิของกายภาพของดวงตาแล้ว เทคโนโลยีอะไรก็ช่วยไม่ได้ เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่โรคไม่ได้อยู่ที่ระบบหักเหแสงแต่เป็นที่โรค เพราะเห็นกระแส DNEye มาแรงมากก็อดกังวลใจแทน Rodenstcok ไม่ได้ เพราะถ้า lower order aberration อย่างสายตา สั้น ยาว เอียง ยังพากันจ่ายตามแว่นเดิมด้วยอ้างว่าคนไข้ชิน ตัดเอียงทิ้ง ตบองศาเข้าแกนหลักกันอยู่ด้วยอ้างว่าเพื่อความ comfort แล้วถ้าไปทำอย่างนั้นแล้ว HOA มันจะมีค่าอะไร ในเมื่อเสกลที่มันเข้าไปแก้นั้น เล็กกว่า LOA หลายเท่านัก แล้ว DNEye technology มันจะช่วยอะไรได้ เดี๋ยวจะหาว่าเลนส์ Rodenstock ไม่ดี ไปกันใหญ่ ก็อยากจะเตือนสติเอาไว้โดยทั่วกัน ว่า "เรียนแบบวิทย์ อย่าคิดแบบไสย์"
เคสนี้ ผมไม่ทำแว่นให้คนไข้ แม้คนไข้จะอยากได้ก็ตาม เพราะผมเห็นว่าแว่นที่จะทำใหม่ก็คงไม่ได้ช่วยให้คนไข้เห็นดีกว่าแว่นเดิมมากมายนัก เพราะว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ refractive error แต่อยู่ที่พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับดวงตาของคนไข้คือ ต้อกระจก
อย่างที่ผมกล่าวไปตอนต้น ว่า "มันจะร้อนขนาดสามารถเผาจอประสาทตากันภายในไม่กี่วินาทีได้เลยหรือ"
ผมก็มานั่งนึกๆดู นึกถึงตอนเล่นแว่นขยายสมัยเรียนมัธยมคือเอาแว่นขยายไปอังแดด เพื่อให้แสงโฟกัสแล้วเผากระดาษ นึกได้ดังนั้นก็ถือ VOLK Macular Plus ซึ่งเป็นเลนส์บวกที่เอาไว้ตรวจจอประสาทตา กำลังเพียง 38D ไปโฟกัสกลางแดดตอนเมื่อช่วงเที่ยง ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาที กระดาษก็เริ่มถูกเผา
แต่มานั่งนึกดูกำลังรวมของกระจกตากับเลนส์ตารวมกันแล้วสูงถึง 60D ซึ่งมากกว่าเลนส์ที่ผมใช้ทดสอบเกือบ 2 เท่า แล้วคิดดูว่า โฟกัสที่เกิดขึ้นในลูกตาจะรวมความร้อนได้สูงกี่ร้อยองศาและสามารถเผาเรตินาได้ในไม่กี่วินาที
แดดทั่วไปที่ผิวหนังเราสัมผัส จึงเป็นแดดแบบฟุ้งกระจายหรือแบบ Diffuse ไม่ใช่แสงแบบ Focus ถ้านึกไม่ออกให้ลองเปรียบเทียบพลังงานความร้อนที่กระจายของหลอดไส้ กับ ความร้อนที่เกิดจากแสงเลเซอร์ ที่สามารถตัดเหล็กได้ ฉันไดก็ฉันนั้น
ดังนั้น ในเรื่องนี้เราจะมองว่า แสงก็สักแต่ว่าแสงก็ไม่ได้ เพราะแสงที่เข้าดวงตาเป็นแสงในลักษณะของการโฟกัส ซึ่งมีพลังงานความร้อนสูงเนื่องจากเกิดการรวมแสงของกระจกตาและเลนส์ตา และไปโฟกัสความร้อนสูงเกิดขึ้นที่จุดรับภาพบริเวณ macular ของเราแล้วถ้าโฟกัสเต็มๆ มันจะเผาดวงตาได้รุนแรงและรวดเร็วขนาดไหน
เรื่องนี้จึงควรเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครๆ ที่ยังคิดว่า เกิดมาเป็นดวงตาแล้ว you ต้องอดทน I จะทรมาน ทรกรรม you ทุกอย่าง ไม่ว่าจะด้วยสารพิษ สารเคมี ฝุ่นละออง เชื้อโรค มลภาวะ I จะแว้นโดยไม่ใส่หมวกป้องกัน เราจะเอาตาโต้ลมโดยไม่มีอะไรป้องกัน และ I จะไม่ใสแว่นป้องกันอะไรยูทั้งนั้น เพราะ you เกิดเป็นตาต้องอดทน แต่พอตามันทนไม่ไหว ก็ไหม้แบบที่มาเล่าให้ฟังในวันนี้
ท่านไหนที่อยากดูการทดลองที่ผมลองเผากระดาษด้วยเลนส์ 38D ใน 5 วินาทีหลังบ้าน เข้าไปดูโพสต์ใน facebook ได้ที่ลิ้ง https://www.facebook.com/loftoptometry/posts
คนไข้กลัวเรื่องการทำต้องกระจกและมีความกังวลใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับการทำต้อกระจก ที่เป็นสาเหตุให้คนไข้พยายามหลีกเลี่ยงการทำต้อกระจกมาโดยตลอด โดยคนไข้ให้เหตุผลหลายๆอย่างเช่น
“หมอแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน บางท่านก็ force ให้ทำต้อกระจกเลยเลย บางท่านก็บอกให้รอก่อน อีก 4-5 ปีค่อยทำ ก็เลยยังสับสนว่าจะเชื่อใครดี ก็เลยยังไม่ได้ทำสักที และวันนี้พี่จะมาขอ opinion จากคุณว่าพี่ควรทำได้แล้วหรือยัง”
“มีเพื่อนบางคนที่ไปทำมา แล้วบางคนก็บอกว่า ทำแล้วดีเลย เห็นชัด สบายดี ส่วนบางคนก็บอกว่า ไม่เห็นดีเลย ทำมาแล้วก็ไม่ดี เสียดายเลนส์ตาจัง พี่ก็เลยกลัวที่จะทำ เพราะไม่รู้จะเชื่อใครดี”
คนไข้บอกต่อไปอีกว่า “ก็เลนส์มันยังใช้งานได้ แล้วจะเอาออกแล้วไปใส่เลนส์เทียมทำไม”
ก็เลยจะมาขอความเห็นกับผมว่า “ตกลงพี่ควรทำหรือไม่ควรทำต้อกระจก”
ผมก็แนะนำในมุมมองทัศนมาตร ว่า “ทำต้อกระจกไปเลยดีกว่า หรือว่า รอก่อนดีกว่า”
ก็ต้องถามต่อไปว่า “ถ้าทำไปเลย ดีอย่างไร เสียอย่างไร หรือถ้าจะรอก่อน ดีอย่างไร เสียอย่างไร”
เอาประโยชน์ดีๆก่อน
1.ทำเสร็จปุ๊บ ชัดแจ๋ว ไม่ต้องใส่แว่นก็ไปไหนได้ เพราะ IOL ที่ใส่เข้าไปนั้นจะแก้ refractive error ของเราอยู่แล้ว และเลนส์ IOL เดี๋ยวนี้ แก้ได้ทั้ง สั้น/ยาว/เอียง ดังนั้นสิ่งที่ได้ทันที ก็คือความชัด มองโลกสวยงาม ไม่มีแสงฟุ้งกระจายจากปัญหาสายตา ไม่แสบตาแพ้แสงจาก glare ที่เกิดขึ้นจากต้อกระจก อิสระเสรี ลืมแว่นก็ไม่เดือดร้อนอีกต่อไป และเลนส์สมัยนี้ ทำได้ทั้งชัดระยะกลางระยะไกล เห็นชัดตั้งแต่ทีวี ยันระยะอนันต์ ทำเดี๋ยวนี้ชัดเดี๋ยวนี้ แต่เลือกคุณภาพหน่อยก็แล้วกัน อย่าเอาแต่ถูกอย่างเดียว
2. ถ้าอีก 5 ปีค่อยทำ ก็อีก 5 ปีค่อยชัด แล้วระหว่าง 5 ปีที่ทนมัวอยู่นี้ ทนเพื่ออะไร มีชีวิตมานานกว่า 60 ปี แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ถ้า 5 ปีค่อยชัด แล้วจะเหลือเวลาชัดไปอีกกี่ปี แล้วคุณภาพชีวิตระหว่างนี้จะทำอย่างไร
3. ผ่าตัดตั้งแต่เนิ่นๆ ต้อยังนิ่มไม่สุกมาก เลนส์ยังไม่แข็งมาก ผ่าตัดง่ายกว่า แผลน้อย กระเทือนน้อย ถ้ายิ่งเก็บต้อไว้นาน ต้อก็จะสุกมากขึ้น ทำให้เลนส์แข็งตัว และการผ่าตัดจะยากขึ้น ต้องใช้แรงมากขึ้น อาจเกิดการกระทบกระเทือน อาจะทำให้เอ็นยึดเลนส์ขาด ต้องใช้การผ่าตัดแขวนเลนส์ ยุ่งไปอีก
4. ผ่าตัดเร็วช่วยให้หมอช่วย investigate จอประสาทตาได้ดีขึ้น ติดตามการรักษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คนไข้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นต้อหิน และต้องใช้ยาในการลดความดันลูกตา ดังนั้น หมอต้องการ monitor จอประสาทตาว่ามีการลุกลามของโรคมากน้อยแค่ไหน และการมีต้อกระจกที่ยังไม่ได้ผ่าตัดออกมานั้น มันทำให้ media ไม่ clear ทำให้การเข้าไปดูกายภาพของจอประสาทตานั้น ยากลำบาก และอาจทำให้พลาดในการตรวจพบความผิดปกติอย่างอื่นด้วยก็ได้ ถ้าผ่าต้อกระจกออก media ก็จะ clear การจะไป investigate ดูจอรับภาพก็ดูได้ง่ายขึ้น เอาเป็นว่า ชัดทั้งคนไข้ ชัดทั้งหมด
5.บางคนบอกว่าดี บางคนบอกว่าไม่ดี ก็เลยกลัว จริงๆแล้วเรื่องนี้ ผมตอบแทนไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่า แต่ละคนไปเจออะไรมา ใครเป็นคนผ่าให้ และผ่าด้วยเทคโนโลยีอะไร แล้วมีประสาทตาขณะนั้นเป็นอย่างไร ที่เคยเจอกับตัวคือคนไข้มาบ่นให้ฟังว่า ก่อนผ่ามองเห็นผ่าแล้วตาบอดเลย แท้จริงแล้วเขาบอดมาตั้งนอน แล้วแต่ต้อกระจกบังอยู่ หมอมองไม่เห็นจอประสาทตาด้านใน แต่พอผ่าออกมาแล้ว มองเห็นจอประสาทตาก็พบว่าดับไปแล้ว แต่คนไข้ก็โวยว่าก่อนหน้านี้ไม่เป็น แท้จริงแล้ว ไม่เป็นหรือไม่รู้ว่าเป็นกันแน่ ดังนั้นถ้าเรามีโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาที่หมอต้องเฝ้าดูแล้ว ยิ่งต้องรีบทำต้อกระจก เพื่อให้หมอรักษาจอประสาทตาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นการทำต้อกระจกมีตั้งแต่ข้างไม่กี่บาทด้วยสิทธิบัตรทอง ไปจนถึงข้างละ 70,000 ด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ต่างกัน ตั้งแต่ด้วยการใช้มีดกรีดเปิดกระจกตา ไปจนถึงการใช้เลเซอร์ในการเปิดแผลขนาดเล็ก และ ด้วยเลนส์ IOL ที่มีประสิทธิภาพต่างกัน ผลที่แต่ละคนได้รับมานั้น ย่อมต่างกัน บางเรื่องก็อย่าไปเสียน้อยเสียยาก ลูกตามีอันเดียว ทำไปแล้ว รื้อไม่ได้ มันจะยุ่ง
6. “ก็ของเดิมมันยังใช้งานได้อยู่” (เหรอ) คำถามของผมคือ “ตอนนี้ใช้เลนส์ตาทำอะไรได้บ้าง” ตอนนี้มันไม่ประโยชน์อะไรแล้ว เพราะหน้าที่ของ lens คือ accommodation แต่ตอนนี้ เพ่งไม่ได้แล้ว ไม่มีประโยชน์ และยังมีโทษเพราะมันขุ่นอยู่ ทำให้มองไม่ชัด ดังนั้นเลนส์ตาของคนไข้ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ และใช้งานไม่ได้ แถมยังมา disturb การมองเห็นอีก
ผ่านมา 6 ข้อ ก็ยังไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำต้อกระจกสำหรับเคสนี้ และยังหาเหตุผลของการรอไม่เจอ และอายุคนนั้นไม่แน่ไม่นอน รออีก 5 ปี ค่อยทำ ก็ไม่มั่นใจว่าจะมีอายุอีกนานแค่ไหน หรือรออีก 5 ปีค่อยทำ แล้วค่อยมองชัด แล้วหลังจากมองชัดจะอยู่ได้อีกกี่ปี
อันที่จริงนั้น "เราไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดเองว่าเป็นต้อหินหรือไม่เป็นต้อหิน เพราะเป็นต้อที่เราไม่รู้สึกว่าเป็นหรือไม่เป็น เพราะมันมองไม่เห็นตัวและไม่เจ็บ" และเป็นเรื่องของการวินิจฉัยของแพทย์ แต่ด้วยความที่คนไข้เองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าตัวเองเป็นต้อหิน และยังมีความคิดว่า จริงๆ ตัวเองอาจไม่ได้เป็นต้อหินจริงแต่หมอวินิจฉัยไปเอง ก็เลยคิดว่าไม่มีประโยชน์ในการหยอดยาทุกวัน เพราะหยอดแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้อง educate คนไข้อีกพอสมควร เพื่อให้คนไข้เข้าใจกลไกของการเกิดโรคต้อหิน และผลของการไม่ทำตามคำแนะนำของหมอ เพราะหมอก็คงไม่ได้ว่างขนาดที่จะเที่ยววินิจฉัยขำๆให้คนนั้นคนนี้เป็นต้อหินเพื่อจ่ายยา ทรมานคนไข้เล่น ดังนั้นถ้าวินิจฉัยไปแล้วว่าเป็นต้อหิน คนไข้ก็ไม่ chioce ว่าจะหยอดยาหรือไม่หยอดยา คือคนไข้เลือกไม่หยอดไม่ได้ เพราะถ้าไม่หยอดอาจบอดได้โดยไม่รู้ตัว เพราะต้อหินไม่มีอาการ และยาหยอดตาต้อหิน Xalatan เป็นยารักษาต้อหินโดยใช้การลดความดันภายในลูกตา แต่ก็มี side effect หลายอย่างที่ทำให้คนไข้ไม่ชอบหยอดเช่น
ทำให้หลายๆคน เลือกที่จะไม่หยอด เพราะหยอดก็ไม่รู้สึกว่าช่วยให้มองชัดขึ้น แต่เพราะการรักษาต้อหินปัจจุบัน มีวิธีทางเดียวคือ ลดความดันตา เพื่อไม่ให้โรคลุกลามต่อไป แต่ส่วนที่เสียแล้วก็เอาคืนมาไม่ได้ แต่ก็ต้องหยอดเพราะถ้าไม่หยอดก็จะบอดในอนาคต และยิ่งคนไข้เหลือตาใช้งานได้อยู่ข้างเดียวแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องเฝ้าระวังและเฝ้าติดตาม
Point ของเรื่องนี้คงอยู่ที่การให้เวลาในการ educate คนไข้ ให้เข้าใจถึงสภาวะของโรค และความจำเป็นในการทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การรักษานั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และมีผลข้างเคียงน้อยสุด งาน educate จึงเป็นงานที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ให้บริการด้านสุขภาพต้องให้ความสำคัญ แม้มันจะไม่สามารถสร้าง margin มากมายจากการเสียเวลา แต่เราอาจช่วยชีวิตคนไข้ หรือดวงตาของคนไข้ได้ และยังเป็นความรู้ที่คนไข้สามารถนำไปบอกคนรัก เพื่อนฝูง คนในครอบครัว ให้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ซึ่งมีคุณค่ากว่าเรื่อง margin มากมายนัก
คนไข้มีความสุขมากที่ได้มาเจอกัน บอกว่านานๆกลับเมืองไทยสักทีหนึ่ง มีเพื่อนแนะนำให้มา ซึ่งอยู่อเมริกาไม่เคยรับประสบการณ์แบบนี้
แม้คนไข้จะมี Insurance ที่สามารถ cover ผ่าตัดต้อกระจกในอเมริกาได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะทำกับใคร จึงขอคำแนะนำจากผมว่า “มีหมอดีๆไหม ที่รู้จักไหม”
"หมอดีๆ ผมเชื่อว่ามีอยู่มากครับ เพียงแต่หมอดีและผมรู้จักและส่งเคสไปผ่าตัดแล้วมีความสุขแล้วกลับมาขอบคุณที่แนะนำให้ไปทำที่นี่ ซึ่งอยู่ปากซอยวัชรพลนี้เอง ถ้าคนไข้ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แนะนำที่นี่เลย ซึ่งคนไข้ก็รับปากว่า หลังจะกลับมาเมืองไทยปลายปี จะมาทำที่นี่ นวตา คลินิก ของคุณหมอคำนูญ"
ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีของ loft optometry ที่มีคลินิกหมอตาดีๆ ทัศนคติดี เป็นอาจารย์ผมด้วยสมัยเรียนอยู่ปี 6 อยู่ใกล้ตัว เป็นคลินิกหมอตาทำต้อกระจกที่เก่งและฝีมือดีมาก และใช้ high technology ซึ่งผมส่งไปหลายเคสแล้ว แฮปปี้และกลับมาขอบคุณที่แนะนำให้ทุกคน เพราะการแนะนำสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เราเป็นห่วงเป็นใยก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
จบด้วยความอิ่มใจ ทั้งตัวผมและคนไข้ จึงนำเรื่องราวดีๆ มีความรู้แทรกมาให้ได้อ่านกัน