Case Study 22 : แก้ภาพซ้อนด้วยเลนส์ปริซึม


Case Study 22

Topic : แก้ภาพซ้อนด้วยเลนส์ปริซึม

By  DR.LOFT , O.D

create ; 3 July 2019

 

 

บทนำ

 

เรื่องวันนี้เป็นเรื่องราวของน้องผู้หญิงคนหนึ่ง น้องเป็น Programmer เขียนโปรแกรมสร้างเกมส์ฝึกสมองเด็ก  ซึ่งในแต่ละวันนั้นต้องใช้สายตาในการเขียนโค้ตบนคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันมากกว่า 10 ชม.  น้องมาด้วยอาการ ภาพซ้อนทั้งมองไกลและมองใกล้ ซึ่งเป็นตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาตื่นจนเข้านอนตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา  แต่ด้วยความรักและความสนุกกับงาน ทำให้น้องยังสามารถทนอยู่กับปัญหาภาพซ้อนของตัวเองได้ทุกวัน  แต่ด้วยงานที่มากขึ้นจึงเริ่มทนอยู่กับสภาวะภาพซ้อนไม่ได้จึงเริ่มมองหาแนวทางการแก้ไขปัญหาสายตาให้ตัวเองในอินเตอร์เนต จนมาเจอบทความเกี่ยวกับภาพซ้อน ที่ผมเขียนไว้ในเว็บไซต์ loftoptometry.com จนได้มาเจอกันที่ ลอฟท์ วัชรพล 

 

อาการที่น่าสนใจคือ น้องบอกว่า เวลาใส่แว่นเดิมที่ทำมานั้น ชัดแต่ก็เห็นภาพซ้อนชัดขึ้นด้วยเช่นกัน ปิดตาข้างหนึ่งแล้วใช้ตาเดียวมองไม่ซ้อน และถ้าถอดแว่นจะรู้สึกว่าไม่ซ้อนและสบายตากว่า ดังนั้นในการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์จึงเลือกที่จะถอดแว่นออกมากกว่า  แต่เวลาออกไปข้างนอกก็จะหยิบแว่นมาใส่ ชึ่งแม้จะทรมานจากภาพซ้อน แต่ก็ดีกว่ามองอะไรไม่เห็น

 

ปัญหาหลักเกี่ยวกับใช้ชีวิตจริงๆเลยคือ น้องไม่สามารถขับรถเองได้เลย เพราะถ้าเหลือบไปมองด้านข้างจะเห็นรถคันเดียวมีสองคัน  เห็นคนคนเดียวมีสองคน เห็นถนนเลนเดียวมีสองเลนซ้อนกันอยู่ โดยเฉพาะเวลาเหลือบไปทางขวาสุดหรือซ้ายสุด ทำให้ไม่มีความมั่นใจในการขับรถ

 

ปัญหาทั้งหมดของน้องก็หมดไปง่ายๆ ด้วยการ corrected ค่าสายตาให้ถูกต้อง โดยเฉพาะตาด้านขวาที่ค่าบนเลนส์เดิมที่ใช้มานั้นเกินกว่าค่าจริงสูงถึง -2.25D  และจ่ายเลนส์ ปริซึม เพื่อแก้มุมเหล่ที่เกิดขึ้น ภาพซ้อนน้องหายไป ตาของน้องชัดทั้งตาซ้ายและตาขวา น้องรวมภาพได้ น้องเห็นความลึกจริงขึ้นมา

 

 

สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ก่อนแก้ปัญหาด้วยเลนส์ปริซึมนั้น Stereo ของน้องขณะเทส Stereo Fly Test  ซึ่งเป็นเทสสำหรับทดสอบการมองเห็นสามมิตินั้น ขณะมอง Fly Test ซึ่งเป็นรูปแมลงวันตัวใหญ่ มีปีกขนาด 4,800 second of arc น้องยังไม่สามารถเห็นเป็น 3 มิติ ได้เลย  แต่น้องกลับเห็นเป็นแมลงวัน 2 ตัวซ้อนกันอยู่แบนๆ แต่หลังรับแว่นไปแล้ว น้องสามารถเห็น randot stero test ได้ถึง 20 second of arc เลยทีเดียว (ซึ่งเป็น scale ที่เล็กที่สุดใน Stereo Fly test chart  และในทางคลินิกนั้น 40 sec or arc ก็คือว่า ผ่านเกณฑ์ทางคลินิกแล้ว  ดังนั้นเลนส์ปริซึมคู่นี้ ช่วยให้คุณภาพชีวิตของน้องดีขึ้น ดีจนผมอยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้  ยากจะทราบกันแล้วใช่ไหม  

 

มาเริ่มกันเลย

 

Chief Complain

คนไข้หญิง  วัย 27 ปี มาด้วยอาการภาพซ้อน ซึ่งรูปแบบในการซ้อนนั้นเป็นลักษณะที่ซ้อนบนล่างแบบเฉียงๆ ซึ่งเป็นมา 5 ปี  

 

ไม่เคยไปพบจักษุแพทย์มาก่อน เคยไปวัดสายตากับร้านแว่นตามาเมื่อ 1 ปีก่อน ซึ่งเป็นแว่นที่ใส่อยู่ปัจจุบัน  ซึ่งมีปัญหาคือใส่มองไกลชัดแต่เป็นภาพซ้อน ส่วนดูใกล้ก็ซ้อนอยู่  ปัจจุบันจึงใส่เฉพาะมองไกล  แต่ส่วนตัวก็ยังรู้สึกว่า ตาเปล่าก็ยังมองไกลเห็น และไม่ใส่แว่นก็มองใกล้เห็น  แต่แค่รู้สึกว่าใส่แว่นแล้วชัดกว่าจึงใส่มองไกลทุกวัน  และเรื่องภาพซ้อนนั้น ถ้าถอดแว่นกลับรู้สึกว่าซ้อนน้อยกว่าด้วย แต่ก็ไม่ค่อยชัด

 

เริ่มใส่แว่นครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี แว่นที่ใส่อยู่ปัจจุบันทำมาจากร้านแว่นตาเมื่อ 2 ปีก่อน   นำไปเช็คค่าด้วย lensometer ได้ค่ามา

แว่นเดิมที่ใส่มา

R -2.50     VA 20/40

L -2.50     VA 20/25

 

ไม่มีประวัติอุบัติเหตุทางศีรษะหรือดวงตา  หรือ โรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับดวงตา

 

สุขภาพแข็งแรง ตรวจสุขภาพประจำทุกปี ไม่มียาที่ทานประจำ

 

เป็นโปรแกรมเมอร์ ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละมากกว่า 10 ชม.

 

Preliminary Eye Exam

PD 27/28

VAsc (w/o correction)

OD 20/40-2

OS 20/200

 

VAcc (w/ habitual correction)

   R -2.50     VA 20/40

   L -2.50     VA 20/25

 

Version : SAFE but Diplopia w/o pain all gaze  esp. at lateral gaze left & right.

Cover/Uncover test : no tropia

Alt.CT : large Esophoria both far & Near  ; 16 BO@ distant  / 10 BO@near (by prism bar on habitual correction)

 

Auto-refractor *ค่าที่ได้จากการวัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์

OD -4.00 -0.50 x 141

OS -5.12 -0.38 x 176

 

Retinoscope (objective refraction)

OD -0.50 - 0.50 x 90   VA 20/20

OS -2.75 -0.25  x 90    VA 20/20

 

Mono Subjective

OD -1.00 -0.62 x 105   VA 20/20

OS  -3.00 -0.50 x 90     VA 20/20

 

Clinical check point

Binocular Diplopia : ขณะที่ทำ monocular subjective ของตาแต่ละข้างเสร็จแล้ว โดยทั่วไปแล้วขั้นตอนต่อไปคือการทำ Binocular Balancing แต่ในเคสนี้ไม่สามารถทำตามขั้นตอนปกติได้เนื่องจากคนไข้เห็นเป็นภาพซ้อน  จึงต้องหามุมเหล่ และแก้มุมเหล่เพื่อให้คนไข้สามารถรวมภาพเป็นภาพเดียวกันได้ก่อนแล้วจะค่อยกลับมาทำ Balancing

ซึ่งวิธีทดสอบที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือ Von Graefe’s technique และ confirmation test ด้วย maddox rod ซ้ำอีกที และทดสอบการรวมภาพด้วย worth-4-dot test  ซึ่งได้ค่าที่ทำให้ภาพไม่ซ้อนสำหรับการทำ Binocular balancing คือ 12 BO + 1.5BUOS

เมื่อภาพไม่ซ้อนแล้ว จึงกลับมาทำ BVA ซึ่งขณะทำ BVA ก็ใส่ปริซึม 12 BO + 1.5BUOS คาเอาไว้บน phoropter ด้วย ได้ BVA ออกมาบน phoropter ที่

 

BVA  (w/ 7BOOD+1.5BUOS)

OD -0.50 -0.62 x 105  VA 20/15    

OS -2.50 -0.50 x 90    VA 20/15

 

และทำ Fine tuning บน trial frame ออกมาได้ที่

 

BCVA  ( w/ 3.5BO OD + 3.5BO OS +1.5 BU OS)

OD -0.25 -0.75 x 105   VA 20/15

OS  -2.50 -0.50 x 90     VA 20/15

 

 

Binocular function @ 6 m

Horz.Phoria ; 11.5 prism base out esophoria   w/ Von Graefe’s technique  (มุมเหล่เข้าซ่อนเร้นขณะมองไกล 11.5 ปริซึม ในขณะที่ค่า norm นั้นเป็น “ศูนย์”)

BI - vergence = -/-6/-7  ; Double vision (diplopia)  Recovery @ 7 prism base out  and start brake again @ 6 base out

Clinical Check Point

(BI-vergence เป็นการทดสอบเพื่อประเมินแรงของกล้ามเนื้อตาในการออกแรงต้านมุมเหล่นั้นมีแรงมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งในเคสนี้นั้น แรงของกล้ามเนื้อตาที่ทำงานในการดึงลูกตาออกจากมุมเหล่ที่ลบใน (eso) ออกมานั้นไม่พอกับมุมเหล่ คนไข้จึงเห็นเป็นภาพซ้อนตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร 

ดังนั้น ในเคสนี้ขณะทำ BI-vergence test แทนที่จะต้องเริ่มทำด้วย BI แต่กลับต้องเริ่มด้วยด้วย base out แทน เพื่อให้ภาพนั้นสามารถรวมภาพได้ก่อน ซึ่งภาพเริ่มรวมได้ที่ 7 ปริซึม base out  และ กลับมาแยกอีกครั้งที่ 6 base out)

 

Vertical Phoria : 1.5 BUOS (Right Hyperphoria)

Clinical check point

ขณะเกิดภาพซ้อนนั้น คนไข้เห็นภาพซ้อนเกิดขึ้นทั้งในแนวราบ horizontal และ แนวดิ่ง vertical นั่นแสดงถึงมีมุมเหล่ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 แนว ซึ่งวัดมุมเหล่ในแนวดิ่งออกมาได้ที่ 1.5 ปริซึม โดยตาขวานั้นมีตำแหน่งลอยสูงกว่าตาซ้าย เรียกว่า  Right Hyperphoria

 

Worth 4 dot : Diplopia and Fusion @ 12 BO + 1.5BUOS

 

Clinical check point

Worth 4 dot test เป็นเทสหรับหรับดูความสามารถของสองตาในการรวมภาพเป็นหนึ่ง (Binocular Fusion)  ว่าสามารถ Fuse ได้หรือไม่ได้ ถ้า fuse ไม่ได้  ระบบการมองเห็นของคนไข้เลือกที่จะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร  ด้วยการ กดสัญญาณข้างใดข้างหนึ่ง (supression) หรือว่า ปล่อยให้เกิดภาพซ้อน (Diplopia)  ซึ่งในเคสนี้นั้น ระบบเลือกที่จะปล่อยให้เกิดภาพซ้อน  ซึ่งต้องใช้เลนส์ 12 BO + 1.5BUOS ในการช่วยให้คนไข้สามารถเกิดการรวมภาพได้

 

 

Maddox Rod : 12 BO / 1.5 BUOS

 

Clinical check point

Maddox Rod ก็เป็นอีกเทสหนึ่ง เพื่อดูการ aligment ของตาว่า มีตำแหน่งธรรมชาติของดวงตา (phoria) อยู่ที่ตำแหน่งใด

หลักการของเรื่องนี้คือใช้ filter มาใช้ในการ brake fusion ให้ตาแต่ละข้างนั้นได้รับภาพคนละอย่างกัน  เมื่อภาพเป็นคนละภาพ สมองก็จะไม่เชื่อว่าเป็นภาพเดียวกัน และเมื่อไม่เชื่อว่าเป็นภาพเดียวกัน สมองก็จะไม่จำเป็นต้องบังคับตาไปมองให้ภาพมันรวมกัน จากนั้นก็จะปล่อยตาแต่ละข้างให้ไปอยู่ในตำแหน่งสบายของตน  ซึ่งตำแหน่งที่ว่านั้นก็คือตำแหน่งของ phoria หรือ tropia นั่นเอง

ซึ่งในเคสนี้วัดค่า  Maddox rod  test นี้ วัดมุมเหล่ออกมาได้ที่ 12 BO / 1.5 BUOS ซึ่งก็สามารถเป็น confirmation test ที่ดีได้อีกตัวหนึ่งในการหามุมเหล่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมเหล่ซ่อนเร้นในแนวดิ่ง หรือ vertical phoria

 

Binocular Function @ 40 cm

Horz.phoria : 7 prism base out esohphoria

AC/A ratio ;  2:1

Clinical check point

Low AC/A  ratio  เป็นดัชนีบอกอีกอย่างหนึ่งว่า ลักษณะอาการของเคสนี้นั้นเป็น Divergence Insufficiency หรือ DI มากกว่าที่จะเป็น convergence access หรือ CA คือเหล่เข้าแบบซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากแรงของกล้ามเนื้อตาในการดึงออกนั้นต่ำเกินกว่า demand มากกว่าที่จะเป็นเหล่เข้าที่เกิดจากการที่ accommodation ถูกกระตุ้น ซึ่งเป็นเครื่องบอกให้เรารู้ว่า best solution ในการแก้ไขปัญหาของเคสนี้คือการจ่ายปริซึม ไม่ใช่ด้วยการจ่าย add เพื่อลด demand

ศึกษา AC/A ratio เพิ่มเติมได้จาก link : https://www.loftoptometry.com/whatnew/AC/A ratio

 

Vert. Phoria : 2 BUOS

เหล่ซ่อนเร้นในแนว vertical ก็ยังมีให้เห็นแม้มองใกล้

 

BCC +0.25

BCC ต่ำ แสดงถึงฟังก์ชั่นการทำงานของระบบเพ่งของคนไข้นั้นยังทำงานได้สมบูรณ์ดีอยู่

 

NRA/PRA : +2.50 /-2.00

 

Assessment

1.compound myopic astigmatism

2.Divergence Insufficiency

3.Hyperphoria (Right-hyper)

 

PLAN 

1.Prescription

OD -0.25 -0.75 x 1050

OS -2.50 -0.50 x  90

 

2.Base Out prism Rx

  Rx 7 prism base out ( 3.5BOOD/3.5BOOS)

 

3. Vertical prism

  Rx : 1.5 prism (0.75 BDOD/ 0.75 BUOS)

 

 

วันรับแว่น

 

เดิมทีผมยังรู้สึกกังวลเล็กๆกับ full correction ครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่า เต็มทั้งสายตาสั้น / เอียง และปริซึมทั้งแนว vertical และ Horizontal ที่หนักเอาเรื่อง จะทำให้คนไข้รู้สึกไม่สบายตา ปวดตา หรือต้องปรับอะไรหรือไม่

 

แต่เมื่อรับแว่นจริง  เราไม่ได้พูดถึงเรื่องที่กังวลนั้นเลย เพราะคนไข้ได้แต่ยิ้ม และพูดว่าชัดจัง  ไม่เคยเห็นต้นไม้มีใบไม้ที่เรียงลึกแบบนี้มาก่อน  เพราะเดิมเห็นก็เหมือนภาพแบนๆ เหมือนรูปต้นไม้ในกระดาษ แต่ไม่มีความลึก เหลือบขวาสุดซ้ายสุดภาพซ้อนก็ไม่เกิดแล้ว อ่านหนังสือชัดเจน ไม่ว่ามองด้วยตาแต่ละข้างหรือมองพร้อมกันทั้งสองตา

 

แต่ที่น่าสนใจกว่าอะไรก็คือ คนไข้สามารถทำเทส  Fly Stereo Test  ซึ่งเป็น stereo test นั้นสามารถเห็นได้เล็กสุดถึง 20 second of arc ด้วยแว่นใหม่นี้  ซึ่งถ้า retinal image ไม่ prefect , binocular function ไม่ perfect และ sensory system ไม่ perfect แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเห็น stereo ที่มีมุมเล็กขนาดนี้ได้ 

 

แน่นอนว่าผมรู้สึก proud ในเคสนี้มากมาย มันเป็นความสุขที่เป็นเหมือนพลังหล่อเลี้ยง passion ในการทำงานด้านทัศนมาตรให้ดียิ่งขึ้นต่อไป 

 

Case Analysis

 

Refractive Error

เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการวัดสายตา ดังที่ได้เขียนไว้ในบทความที่แล้วที่ว่า 30 ปี เครื่องคอมพิวเตอร์วัดสายตาไปได้ไกลแค่ไหน  ใครอยากทราบคำตอบก็ไปอ่านต่อได้ที่ลิ้ง https://www.loftoptometry.com/whatnew/view/138   ซึ่งจากเคสนี้ค่าจากคอมพิวเตอร์นั้น ผิดไปจากค่าจริงมาก คือ

Auto-refractor

OD -4.00 -0.50 x 141

OS -5.12 -0.38 x 176

 

ขณะที่ค่าจริงได้ตรวจออกมาได้เพียง

 

BCVA

OD -0.25 -0.75 x 105    VA 20/15

OS  -2.50 -0.50 x 90     VA 20/15

 

ซึ่งแทบไม่ต่างจากค่าที่ได้จาก retinoscope ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้น คือ

 

Retinoscopy 

OD -0.50 - 0.50  x 90   VA 20/20

OS -2.75  -0.25  x 90   VA 20/20

 

คำถามว่า ทำไมคอมพิวเตอร์วัดสายตาถึงประเมินได้ผิดพลาดมากมายขนาดนั้น ​ ความมคิดส่วนตัวของเรื่องนี้ผมได้เขียนไว้ละเอียดแล้วในลิ้งที่แนบมาข้างต้น ดังนั้นผมจึงไม่ได้โทษเครื่อง เพราะโรงเรียนทัศนมาตรศาสตร์รามคำแหงที่ผมเรียนนั้น คงทราบเรื่องนี้ดี จึงไม่ให้เด็กใช้เครื่องวัดสายตาคอมพิวเตอร์ตรวจขณะที่ยังฝึกตรวจในคลินิกของมหาวิทยาลัย  แต่จะสามารถใช้ได้ ก็ต่อเมื่อสามารถใช้วิธีที่เป็น Gold standard อย่างเรติโนสโคปได้อย่างคล่องแคล่วแล้วเท่านั้น  และในการออกค่ายบริการสายตาประชาชนนั้น เด็กๆทุกคนใช้เรติโนสโคปเป็นเรื่องปกติ เราจึงไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์อะไร  แต่บางคนที่จบออกมาแล้ว บางทีก็ด้วยความเร่งรีบในการทำธุรกิจ ก็ละเลยที่จะหยิบออกมาใช้ เพราะเห็นว่า guideline ที่ได้จาก Auto-Refraction นั้นใช้ได้ ทำให้ทักษะในการทำ retinoscope ค่อยๆลดลง จนเกิดความไม่มั่นใจในการทำ retinoscope ของตัวเอง 

 

แต่น่าสังเกตอย่างหนึ่งสำหรับเคสนี้ขณะทำ Auto-ref คือ  ขณะที่คนไข้มอง บอลลูน ซึ่งเป็นรูปที่อยู่ในเครื่องซึ่งเป็นภาพที่หลอกสมองว่ามีความลึกอยู่  คนไข้บอกว่า เขาไม่เห็นว่ามันจะลึกตรงไหน มันก็คือภาพๆหนึ่งแบนๆเท่านั้นเอง และขณะที่บอลลูนเลื่อนเข้ามาใกล้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเข้ามาใกล้ เพราะว่ามันก็แค่มัวๆ เพ่งๆแล้วรูปก็ยังมัวๆ เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่ามันลึกเป็นสามมิติอะไรอย่างที่ผมบอก ซึ่งเป็นลักษณะที่ perspective ในคอมพิวเตอร์วัดสายตานั้น หลอกคนไข้คนนี้ให้เลนส์ตาคลายตัวไม่ได้ ค่าจึงเกินมามากดังกล่าว  ดังนั้นเรื่องนี้ให้ระวัง เพราะ perspective image ที่สร้างเป็นความลึกหลอกขึ้นมานั้น อาจจะหลอกคนไข้ไม่ได้ทุกคน ทำให้ค่าที่ได้มานั้น อาจจะใช้ไม่ได้เลย

 

ดังนั้นในความเห็นส่วนตัว Auto-refractor ควรนำไปวางให้ห่างมือเด็ก ทั้งเด็กที่เป็นคนไข้และเด็กที่กำลังศึกษาศาสตร์ของทัศนมาตรอยู่  ยิ่งเครื่องดีและแพงมากเท่าไหร่ ย่ิงต้องระวัง เนื่องจากใครๆก็ต้องคิดว่า “แพงแล้วต้องดี” แต่ไม่เสมอไปสำหรับ “สายตาของมนุษย์” ที่มีความยุ่งยากและมีปัจจัยซับซ้อนเกินกว่าที่คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ค่าที่ได้ถูกต้องทุกเคส  (จริงๆไม่มีเรื่องนี้และไม่มีเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวถึงตั้งแต่ต้น)

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยสำหรับการตรวจสายตาก็คือ  การตรวจ VA เพื่อหาความคมชัดของตาเปล่าคนไข้ ก่อนตรวจจริง จะช่วยลดความผิดพลาดลงได้  เช่นในตัวอย่างเคสนี้ คนไข้มี VA ตาเปล่าอ่านได้

 

VAsc

OD 20/40-2

OS 20/200

 

แต่แว่นเดิมที่ทำมานั้น วัดกำลังค่าสายตาได้ค่าท่ากันทั้งสองข้างคือ -2.50D  ซึ่งถ้าเราตรวจ VA คนไข้ตั้งแต่ต้น เราจะไม่จ่ายค่าแบบนี้แน่นอน  เพราะก็เห็นอยู่ว่า ข้างหนึ่งมันแย่กว่าข้างหนึ่งมากๆ แล้วสายตาจะเท่ากันได้อย่างไร  แต่ถ้าเราใช้ retinoscope ได้ปัญหานี้จะหมดไป

 

Binocular Function

ตาเหล่(เห็นๆ)หรือ tropia กับตาเหล่ซ่อนเร้นหรือ phorai  มีสิ่งที่เหมือนกันคือ  ถ้าตาเขาไม่ตรง (หรือ ไม่อยากที่จะตรง) แสดงว่าตำแหน่งจริงๆของตานั้นไม่ใช่ตำแหน่งมองตรง  หรือศูนย์ของตานั้นไม่ใช่ตำแหน่งมองตรง ดังนั้นตาจึงพยายามหลบหนีศูนย์เข้าสู่ตำแหน่งที่ตนเองอยากจะอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อตาด้านหางตา ( lateral rectus) ก็ต้องพยายามดึงตาออกมาด้วยแรง negative fusional vergence (NFV)

 

ถ้ามุมเหล่มากกว่าแรงดึงกลับมากๆ (Demand >>> Supply)  สมองก็จะเลือกที่ตัดสัญญาณจากตาข้างที่มีปัญหามากที่สุดทิ้ง (Suppression) ทำให้เกิดเป็นตาเหล่ขึ้นมา  ซึ่งเป็นเหล่ที่เราสามารถมองเห็นได้ตาเปล่าในสภาวะปกติ  เรียกกว่า tropia

 

แต่ถ้ามีมุมเหล่ แต่มุมเหล่นั้นยังไม่เกินแรงที่พอจะทำได้ (Demand < Supply) เราจะไม่สามารถมองเห็นคนไข้ว่าเป็นตาเหล่ในสภาวะปกติที่ระบบสองตาถูกกระตุ้นให้รวมภาพตลอดเวลา เราจึงเห็นคนตาเหล่ซ่อนเร้นนั้นดูภายนอกแล้วดูเป็นคนตาตรงปกติ  แต่เมื่อ break fusion เมื่อไหร่เราก็จะเห็นว่าคนไข้มีเหล่ซ่อนอยู่  เราจึงเรียกว่าเหล่ซ่อนเร้น หรือ phoria

 

การ break fusion นั้นมีหลายวิธี  เช่นการปิด/เปิด ตาสลับไปมา เช่นการทำ cover test (Alternate Cover Test) เพื่อดูว่าตานั้นหลบไปไหนตอนที่ตาถูกปิด  หรือการใช้ filer ให้ตาขวาและตาซ้ายเห็นคนละภาพ โดยการใช้ filter เข้าไปรวบกวนตาข้างหนึ่งเช่นวิธี maddox rod test  หรือจะใช้วิธี VonGraefe’s technique ก็จะใช้ปริซึมรบกวน binocular ให้เกิดมุมมากพอที่ break fusion  และเมื่อได้ค่ามาแล้วก็ทดสอบการ fusion ของระบบ binocular ด้วย Word-4-dot test อีกครั้ง

 

ดังนั้น การตรวจตานั้น ไม่ใช่เอาแค่ชัด แต่ต้องชัดและสองตาทำงานร่วมกันได้อย่างสมดุลและสมบูรณ์ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการตรวจ binocular vision ทั้งๆที่ refractive error ยังไม่ได้ corected ให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะทั้งสองระบบนี้ผูกกันอยู่ การเปลี่ยนแปลงของระบบหนึ่งจะไปรบกวนอีกระบบหนึ่ง โดยมี AC/A ratio เป็นเครื่องผูก  ศึกษา AC/A ratio เพิ่มเติมได้ที่ลิ้งที่แนบมาข้างต้น

 

ดังนั้น คนที่ยังจ่ายสายตาให้กับคนไข้ ด้วยอ้างว่าที่จ่ายให้ผิดๆคนไข้ชินกับสายตาเก่าที่ผิดๆอยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึง binocular เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่พูดถึง binoc ขณะโฟกัสยังไม่ on กับ retina ในสภาวะที่ lens ตานั้น relax

 

สรุป

1. Computer is Never Be God for Refraction Since then til now.

การวัดสายตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์นั้นเป็นความเสี่ยงชนิดหนึ่งที่จะได้แว่นตาออกมามีค่าไม่ตรงกับความผิดปกติของสายตาจริง  ซึ่งความคลาดเคลื่อนนั้นมักจะเคลื่อนไปในทิศทางสายตาสั้นที่มากกว่าค่าจริง (over minus) หรือสายตายาวที่น้อยกว่าค่าจริง ( under plus) และความคลาดเคลื่อนนี้จะมากยิ่งขึ้นในเด็กเล็กและเด็กโตที่กำลังเพ่งยังมีสูงอยู่ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อตาก็ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตาด้วยเช่นกัน ทำให้คอมพิวเตอร์วัดสายตานั้นวิเคราะห์ค่าคาดเคลื่อนไปจากค่าจริงมาก และ วิธีที่เป็น Gold Standard ในการวิเคราะห์สายตาทางทัศนมาตรคือการทำ Retinoscopy และ Subjectve Refraction

 

2. The Vision not just sharp/unsharp but all  Prefect Refraction , binocular and Health!

เป็นสิ่งที่ต้องยกเครื่องกันใหม่ว่าเรื่องของการมองเห็น หรือ vision นั้นมันเป็นเรื่องที่ไปไกลกว่า ชัด หรือ ไม่ชัด  เพราะชัดไม่ได้แปลว่าถูกต้องหรือปกติเสมอไป  ดังนั้นการวัดสายตาเอาแค่ชัดโดยไม่สนใจระบบอื่นๆนั้น เป็นความเสี่ยงชนิดหนึ่งที่จะสร้างปัญหาหรือสร้างกรรมให้กับคนไข้ที่มารับบริการ

 

เรื่องที่อยากจะฝากปิดท้ายสำหรับเคสนี้ก็คงมีเท่านี้ สำหรับท่านที่อยากจะอ่านเคส Divergence Insufficiency เพิ่มเติมจาก content ที่ ดร.เดียร์ ได้เขียนเคส DI ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ตามลิ้งที่แนบมานี้ https://www.loftoptometry.com/Eyecare/viewcase/87/12

 

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่าน และ ขอให้มีพลังในการกลับไปพัฒนาอาชีพและวิชาชีพทัศนมาตรให้สามารถเป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชนคนไทยต่อไป

 

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม  พบกันใหม่ตอนหน้า

 

สวัสดีครับ

DR.LOFT O,D.

 

ปรึกษาปัญหาสายตาและปัญหาการมองเห็นกับ ดร.ลอฟท์​

ลอฟท์​ ออพโตเมทรี ถ.วัชรพล  ท่าแร้ง บางเขน กทม.​ 10220

โทร 090 553 6554

Line id : loftoptometry

www.loftoptometry.com

www.facebook.com/loftoptometry


 

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก DNEye Scan 2