Case Study 26 : Accommodative Fatigue ,กำลังเพ่งของเลนส์ตาล้า (ชั่วคราว)


Case Study 26

Topic  : Accommodative Fatigue (tempolary)  ; กำลังเพ่งของเลนส์ตาล้า (ชั่วคราว)

By  Dr.Loft ,13/08/2019

 

Abstract

เรื่องย่อของเคสนี้คือ คนไข้ชาย อายุ 42 ปี อาชีพเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านกระดูก มาด้วยอาการ ปวดตึงๆบริเวณกระบอกตา  เมื่อยตา  เป็นมา 5 วัน  ซึ่งอยู่ๆก็เป็นขึ้นมา ดูใกล้ไม่ค่อยชัด ต้องเพ่ง และโปรเกรสซีฟที่ใช้อยู่รู้สึกว่าต้องเงยหน้าเยอะ ทำให้เมื่อยตา จึงเข้ามาตรวจเพื่อหาความผิดปกติ

 

ในเบื้องต้น คนไข้คิดว่าเป็นเรื่องของแว่นเบี้ยว  ซึ่งเมื่อนำแว่นมาให้ผมดูก็พบว่าเบี้ยวจริงโดยมุมเท (panto angle) ขวา/ซ้าย นั้นมีมุมเทไม่เท่ากัน จึงคิดว่าเกิดจากแว่นเบี้ยวจริงๆ และได้ทำการดัดและ calibrate  ซึ่งคนไข้รู้สึกว่าดีขึ้น และไปลองใช้ดูเผื่อว่าอาการจะหาย  วันถัดมาคนไข้แจ้งว่าดีขึ้นแต่อาการก็ยังไม่หาย  อาการต้องเพ่งเวลาดูใกล้ยังมีอยู่  ผมจึงนัดคุณหมอให้เข้ามาตรวจในวันถัดไป 

 

หลังจากที่ตรวจสายตาและระบบการทำงานของสองตาทุกระบบแล้ว พบว่า สายตามองไกลนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่สิ่งที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดคือ ค่า BCC หรือค่า addition ของคนไข้นั้นสูงขึ้นผิดปกติ จาก BCC+1.00D เมื่อปีที่แล้ว กลายเป็น +2.00D ในวันที่เข้ามาตรวจ (อายุ 41ปี)  ซึ่งเป็นการ progress ของค่า addition ที่ไม่ปกติ ซึ่งแสดงถึงความล้าของเลนส์ตาที่ผิดธรรมชาติมากๆ  ซึ่งการที่ค่า add จะเพิ่มถึง 1.00D นั้นปกติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8-10 ปี (อายุประมาณ 50 ปี)  แต่เวลาพึ่งผ่านมา 1 ปี ไม่น่าจะเป็นไปได้

 

ผมถามคนไข้ว่า ช่วงก่อนที่จะมีอาการปวดกระบอกตานี้ มีกิจกรรมอะไรที่ผิดไปจากเดิมไหม เช่นดูใกล้มาก หรือ ใช้สายตาดูใกล้มากๆ กว่าช่วงอื่นไหม เพราะถ้าเป็นความล้าของกำลังเพ่งที่ลดลงตามอายุหรือสายตาคนแก่นั้น  เป็นความอ่อนแรงที่ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลานานหลายปี คนไข้จะจำช่วงเวลาไม่ได้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่  แต่ถ้าอาการเกิดขึ้นแบบ Suddenly นั้นต้องมีเหตุบางอย่างมากระตุ้น

 

คุณหมอแจ้งว่า  ช่วงก่อนจะมีอาการนั้น ต้องเข้าเวรเพิ่ม ครึ่งเข้าเข้า OPD ใช้คอมพิวเตอร์เยอะ ช่วงบ่ายก็เข้าผ่าตัดต่อเนื่องทั้งวัน 2-3 วันติดก่อนมีอาการ  ผมจึงขอให้คุณหมอหาเวลามาใหม่  ให้พักตาหรือทำงานดูใกล้ให้น้อย แล้วหาวันสบายๆ นอนพักผ่อนเพียงพอแล้วเข้ามาตรวจอีกครั้ง  ซึ่งคุณหมอก็พักงานไป  3 วัน เมื่อร่างกายพร้อมแล้วก็นัดเวลาเข้ามาตรวจใหม่

 

หลังจากตรวจสายตาใหม่พบว่า ค่าสายตามองไกลยังคงเหมือนเดิม phoria ที่มีก็ยังคงเหมือนเดิม และที่น่าสนใจคือ Addition กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ BCC+1.25 ซึ่งก็ makesens ว่ามี add ขยับขึ้น +0.25 ในเวลา 1 ปี ก็ถือว่าปกติ

 

ซึ่งผม accessement  เคสนี้ว่า เป็น Accommodation Fatique หรือกล้ามเนื้อตาล้าจากการหักโหมใช้สายตาดูใกล้หนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เลนส์ตาเกิดการล้าและแสดงอาการให้เห็นดังกล่าว  แต่ก็เป็นความล้าที่เกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อได้พัก เลนส์ตาก็กลับมามีแรงเพ่งเพิ่มขึ้นเป็นปกติ

 

หัวใจของเรื่องนี้ อยู่ที่การให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนตรวจเข้ารับบริการทางคลินิกทัศนมาตร เพื่อให้ผลในการตรวจนั้นเป็นค่าที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่ค่าที่เกิดจากความผิดพลาดเนื่องจากร่างกายไม่ได้อยุ่ในภาวะที่ปกติ   และผมเห็นว่ามีประโยชน์จึงนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ 

 

แต่ก่อนที่จะเข้าไปสู่รายละเอียด เรามาดูเคสตั้งแต่ต้นกันดีกว่า

 

เมื่อ 5/8/2561 (ตรวจครั้งแรก)

Case History 

คนไข้ชาย อายุ 40 ปี อาชีพแพทย์เชี่ยวชาญด้านกระดูก มาด้วยอาการปวดศีรษะมึนๆหลังจากใส่แว่นซึ่งเป็นเลนส์ single vision ที่เคลมว่ามีเทคโนโลยีช่วยลดกำลังเพ่งในคนเริ่มมีปัญหากำลังเพ่งอ่อนแรงในวัยเริ่มเป็นสายตาคนแก่  ซึ่งแว่นก็พึ่งทํามาไม่นาน  ถอดแว่นแล้วอาการปวดตึงตาดีขึ้น  ซึ่งมีอาการนั้นมีตั้งแต่วันไปรับแว่นมาจนถึงวันที่แวะมาที่ลอฟท์ประมาณ 1 เดือน เดิมคนไข้คิดว่าเป็นเรื่องปรับตัวกับแว่น  แต่ผ่านไปหลายวันแล้วอาการก็ยังคงเป็นอยู่ จึงอยากจะเข้ามาเพื่อค้นหาปัญหา  

                                                                                                                                     เลนส์ซ้าย blue block ที่มีปัญหา / เลนส์ขวา แก้ปัญหาทั้งหมดโดยไม่ต้องอาศัย blue block

 

(ผมหยิบเลนส์มาดูเป็นเลนส์ระยะเดียวตระกูล anti-fatique ค่ายหนึ่งซึ่งเคลือบผิวด้วยเลนส์ BlueBlock อยู่ และผมได้เขียนเรื่องในเพจว่า "เหตุผลของการจ่ายBlueBlockคืออะไร" ซึ่งผมอยากจะ promote ads แต่ทำไม่ได้เพราะโดน report ว่าสร้างความทะเลาะขัดแย้ง ทำนองนั้น ซึ่งเนื้อหาเป็นอย่างไรลองไปอ่านกันดูครับ  http://bit.ly/2KB9PBG ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็ช่วยแชร์ต่อก็ดีครับเพราะว่าผม promote ไม่ได้ )

 

Patient Ocular Health History (POHx)

- ไม่เคยรับการตรวจสุขภาพตาจากจักษุแพทย์มาก่อน
- CL ; ไม่เคยใช้คอนแทคเลนส์
+ Glasses : คนไข้เริ่มใช้แว่นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี แว่นปัจจุบันที่ใส่อยู่อายุ 1 เดือน เป็นเลนส์ชั้นเดียวแบบลดกำลังเพ่งเคลือบตัดแสงสีน้ำเงิน (anti-fatique single vision lens ) ใส่แล้วรู้สึกปวดตึงบริเวณลูกตา 

-ไม่มีประวัติอุบัติเหตุทางตาหรือศีรษะ  ไม่มีประวัติผ่าตัด บาดเจ็บ ติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับดวงตา  สุขภาพตาโดยรวมแล้วไม่เคยมีปัญหามาก่อน 

HA/Diplopia

+HA : ปวดศีรษะทุกครั้งที่ใส่แว่น ถอดแล้วดีขึ้น ระดับความปวด 4/10 พักแว่นแล้ว อาการดีขึ้น
-Diplopia : ภาพมีเงา แต่ไม่ซ้อนเป็นสองภาพ

สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจําตัว มีภูมิแพ้ฝุ่น จาม น้ํามูกไหล
ไม่มีโรคอย่างอื่น หรือความผิดปกติทางสุขภาพร่างกายหรือญาติพี่น้องที่ต้อง concern

ใช้สายตา ผ่าตัด คอมพิวเตอร์ มือถือ ตลอดทั้งวัน

 

Preliminary eye exam

VAcc 20/100 OD , 20/70 OS ( เห็น VAcc ไม่ดี จึงไม่ได้สนใจค่ากําลังของเลนส์เดิม)

Alt.Cover Test  : Ortho ,EP’

Refraction

Retinoscope

OD -1.50 - 0.75 x 150  VA 20/20

OS -2.25 - 1.00 x 50    VA 20/25

Subjective Refraction (SRx)

OD -1.25 - 0.62 x 152  VA 20/15

OS -2.75 - 0.62 x 52    VA 20/15

 

Binocular function                6m           40 cm

Horz.Phoria                       1BO                -

BI-vergence                       x/6/2               -

BO-vergence                     6/12/4             -

Vertical Phoria                  1 BUOS (R-hyperphorai)

Supra Vergence               2/1 (LE)

Infra Vergence                 4/2 (LE)

BCC                                   -                    +1.25D

NRA/PRA                         -                    +1.00/-1.00

 

Assessment

1.compound myopic astigmatism :  ปัญหาสายตาที่คนไข้เป็นนั้น มองไกลมีสายตาสั้น ร่วมกับสายตาเอียง โดยโฟกัสของ sphere /cylinder  นั้นตกก่อนจอกรับภาพทั้งคู่  และเป็น anisometropia คือสายตาสองข้างนั้นต่างกัน > 1.00D ซึ่งเป็น criterior ที่ต้องเริ่ม concern เรื่อง binocular vision

 

2.มองไกลมีเขเข้าซ่อนเร้น (esophoria)

 

3.มองไกลมีเหล่ซ่อนเร้นในแนวดิ่งหรือตาสูงต่ำ โดยมีมุมเหล่ตาขวานั้นอยู่สูงกว่าตาซ้าย 1 prism (right -hyperphoria)

 

4.มีสายตาชราตามวัย (presbyopia) ทำให้ดูใกล้ไม่ชัด

 

Plan

1. Full Correction

OD -1.25 - 0.62 x 152 

OS -2.75 - 0.62 x 52  

2. prism Rx : 0.5BOOD/0.5BOOS

3. Pris Rx  :  0.5BDOD/0.5BUOS

4.progressive additional lens ; Add+1.25

 

Result

อาการที่มานั้น เช่นปวดตึงบริเวณเบ้าตา เมื่อยล้าตาเวลาทำงานนั้น หายไปทั้งหมด ใช้ชีวิตปกติ  จากนั้นคนไข้ก็หายไปร่วมๆปี จนกระทั่งล่าสุดเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ( 13/7/62 ) คนไข้กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยอาการ ปวดตึงๆบริเวณกระบอกตา เมื่อยตา  แต่พึ่งเป็นมา 5 วัน  ซึ่งอยู่ๆก็เป็นขึ้นมา ดูใกล้ไม่ค่อยชัด ต้องเพ่ง และโปรเกรสซีฟที่ใช้อยู่รู้สึกว่าต้องเงยหน้าเยอะ ทำให้เมื่อยตา

 

เบื้องต้นคิดว่ามีสาเหตุจากแว่นเบี้ยว เนื่องจากพบว่าแว่นเบี้ยวจริง จึงทำการ calibrate แล้ว adjust ให้พารามิเตอร์ถูกต้อง  แล้วให้คนไข้กลับไปลองใช้  พบว่าปัญหาก็ยังคงมีอยู่  จึงได้นัดคนไข้เข้ามาตรวจอีกครั้ง

 

ผลการตรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 17/7/62

Chief Complain 

คนไข้ Complain ปวดๆ ตึงๆตาบริเวณรอบๆดวงตา เป็นมา 5 วัน แบบ sudden และ ช่วงเวลานั้นมีงานผ่าตัดต่อเนื่อง 2 วัน ใช้สายตาหนัก แล้วก็เร่ิมมีอาการ พักผ่อนตื่นเช้า มาก็ยังไม่หาย

 

Clinical Finding

Keratometry

OD 40.75@165 /42.25@75 (corneal astig.  -1.50 x 165)
OS 41.00@20 / 42.25@110 (corneal astig. -1.25 x 20)

 

Retinoscope

OD -1.50 - 1.00 x 160   VA 20/20

OS -2.75  -1.25 x 50     VA 20/20

 

Subjective Refraction

OD -1.25 - 1.00 x 150    VA 2015

OS -2.75 - 0.75 x 45      VA 2015

 

Binocular function        6 m            40 cm

Horz.Phoria                         1 BO (eso)         14 BI (exophoria)

BI-vergence                         x/6/0                     -

BO-vergence                       6/10/4                   -

Vertical Phoria                    0.5 BUOS ( R-Hyperphoria)

Supra Vergence                  2/1 (LE)                 -

Infra Vergence                     3/2 (LE)                -

BCC                                       -                       +1.75D

NRA/PRA                              -                     +0.75/-0.75

 

Ocular Health

Antr.segment. : Normal / Normal

Pupil : PERRLA  w/o RAPD+

Meso 5.4 /4.9 mm

Photo 3.1/3.1  mm


IOPc : OD  11.7 mmHg (CCT 551 micron)

            OS 12.4 mmHg (CCT 562 micron)

Angle : IAT          IAN

   OD   44ํ          42ํ

    OS  43ํ          44ํ

 

Fundus

C/D ratio : 0.7 OD/OS  (** Suspect Glaucoma Tilting disc ,OD, OS)
Ground look normal
AV ratio ; 2/3

ALR ratio : 1/3

OD C/D ratio 0.7
OS : C/D ratio 0.7

Assessment

  1. อาการสําคัญต่างๆที่พบนั้น การเปลี่ยนแปลงของสายตานั้น ไม่ได้มีนัยสําคัญ แต่จะมีค่า accommodation ที่ขยับขึ้นจาก +1.00D เมื่อปีที่แล้ว มาเป็น +1.75D ใน 1 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกของคนไข้ที่มีอายุเพียง 41 ปี 
     
  2. NRA/PRA ของคนไข้ตรวจมาได้เพียง +0.75/-0.75 ซึ่งก็ถือว่าต่ำ แสดงถึงความล้า ของระบบ accommodation ทําให้ accommodation facility ต่ำเมื่อเทียบกับอายุ
     
  3. Esophoria ไกลของคนไข้นั้นยังคงมีอยู่ 1base-out เหมือนเดิม แต่ Hyperphorai ลดลงเหลือ 0.5 BDOD
     
  4. Exophoria Phoria ที่ดูใกล้ของคนไข้นั้นก็พุ่งสูงขึ้นมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับอายุ อาจะเป็น sign ของการ weak ของเลนส์ตาอย่างรวดเร็ว
     
  5. C/D ratio ถือว่าค่อนข้างใหญ่ แต่ IOPc ปกติ และ Ground ของเรตินาทั่วไปดูเหมือนบาง และมี tilt disc คล้ายคนสายตาสั้นมากๆ แต่คนไข้สายตาสั้นไม่ได้มาก ขนาดนั้น ตรวจลานตาด้วย confrontation ก็ดูปกติดี
     

Plans

1. Add ที่พุ่งสูงขึ้นมานี้ ยังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่อาจจะเกิดจาก ภาวะบางอย่างในร่างกายที่ยังฟังก์ชั่นผิดปกติ จึงแนะนําให้คนไข้ไปพบจักษุแพทย์ เพื่อประเมินเพิ่มเติม

2-4 F/U
5. Refer Ophthalmologist เพื่อทําการตรวจวินิจฉัยต้อหินต่อไป

 

ผลจากการตรวจสุขภาพตา 

หลังจากให้คนไข้ไปพบจักษุแพทย์เพิ่มเติม ซึ่งแพทย์ได้ทำการตรวจลานสายตาและตรวจความดันตาเพิ่มเติม รวมทั้งทำ OCT ก็พบว่า ขั้วตานั้นใหญ่จริง C/D ratio 0.7/0.7  ส่วนความดันตานั้นยังไม่ได้สูงมาก และลานสายตาจาการทดสอบนั้นเสียไปบางจุด แต่แพทย์ไม่ได้คิดว่าเกิดจากการเสียจริง  แต่น่าจะเกิดจาก error ที่เกิดจากการผิดพลาดจากตรวจมากกว่า คุณหมอเลยยัง Suspect Glaucoma   ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังไปก่อน ให้ผ่านไปอีกสัก 1-2 เดือนค่อยมา monitor ดูลานสายตากันอีกรอบ

 

หลังจากคุณหมอหาเวลาได้ หลังจากหยุดงานไม่ทำงานที่ต้องใช้สายตาดูใกล้มาก ๆ ต่อเนื่องกันประมาณ 3 วัน  ผมก็ได้โทรนัดหมอให้เข้ามาตรวจอีกครั้ง

 

Clinical Finding ล่าสุด 

Refraction 

OD -1.25 -0.75 x 152  VA 20/15+2

OS +2.75 -0.75 x 52   VA 20/15+2

BCC +1.25 

NRA/PRA +1.00/-1.00

Binocular Function  กับมาเป็นค่าเดิม 

 

Assessment 

1. Acommodation Fatigue (tempolary)  เป็นอาการล้อของกำลังเพ่งของเลนส์ภายในลูกตา แบบชั่วคราว จากการใช้สายตาดูใกล้อย่างหนักและต่อเนื่อง

 

Plan

1.Full Coreectoin 

OD -1.25 -0.75 x 152  

OS +2.75 -0.75 x 52  

2.Ergonomic progressive lens 

อีกปัญหาหนึ่งของคนไข้คือ ขณะนี้ใส่แว่นโปรเกรสซีฟเดิมที่ทำไปเมื่อปีที่แล้ว (Multigressiv MyLife PRO410 ,type Expert.) ยังชัดเจนปกติ ปัญหาปวดหัวหายไปแล้ว  แต่คนไข้ยังรู้สึกว่า progressive lens อย่างไรก็ตามยังคงต้องเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อให้มอง PC ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เวลากรอกข้อมูลบนคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานนั้นรู้สึกว่าเมื่อยต้นคอ  ผมจึงแนะนำให้ใช้เลนส์ Ergonomic หรือเลนส์ office แทนเลนส์โปรเกรสซีฟเมื่อต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน  ซึ่งผมแนะนำให้ใช้  Progressiv Erogo PC  ก็เป็นอันจบปัญหาไป 

 

Case Analysis 

1.Blue Control หรือ Blue Block นั้น เป็น Option สำหรับคนที่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับแสงสีน้ำเงินจากหน้าจอเท่านั้น  เพราะจากรายงานการแพทย์ปัจจุบันของผลกระทบแสงสีน้ำเงินต่อดวงตามนุษย์จริงนั้นยังไม่มี   ดังนั้น ถ้าท่านรู้สึกเหนื่อยล้า ปวดเบ้าตา แพ้แสง เมื่อยตา ปวดศีรษะเวลาดูหน้าจอหรือมือถือ  สาเหตุมากกว่า 99 % นั้นเกิดจาก ท่านมีปัญหาสายตาที่ยังไม่ได้แก้ไขอยู่  หรือแว่นที่ท่านใส่อยู่นั้นไม่ตรงกับค่าสายตาจริง หรือเซนเตอร์หรือมุมแว่นของท่านไม่ถูกต้อง หรือคุณภาพของเลนส์ที่ท่านใช้อยู่นั้นไม่รองรับปัญหาสายตาของท่าน  หรือไม่ก็ใช้งานต่อเนื่องยาวนานเกินไปซื้อถ้าจะใช้นานมากๆขนาดนั้น อ่านหนังสือไม่มีแสงสีน้ำเงินก็ปวดหัวอยู่ดี  

 

ส่วนที่จะมีสาเหตุมาจากแสงสีน้ำเงินนั้นน้อยกว่า 0.01%  และถ้าจะกลัวว่า จอประสาทตาจะเสื่อมจากแสงสีนำ้เงิน ก็ให้ทำใจได้ ถ้าท่านจอประสาทตาเสื่อมจากแสงสีนำเงิน ท่านจะเป็นผู้ที่โชคร้ายที่สุดในโลก เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานทางการแพทย์เรื่องนี้  ส่วนท่านที่เป็นจอประสาทตาเสื่อมปัจจุบันนี้ ล้วนแต่ไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่หน้าจอหรือดูหมือถือทั้งวัน แต่กลับเป็นผู้สูงอายุที่เกิดก่อนดิจิทัลจะเกิดเกือบทั้งสิ้น ซึ่งสาเหตุแพทย์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่า บุหรี่นั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ แต่ยังไม่มีการระบุว่า แสงสีน้ำเงินเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

 

Blue is not  Evil  , ผมไม่เคยทำร้ายใคร https://www.loftoptometry.com/whatnew/BlueBlock

ดังนั้น จากข้อนี้สรุปได้ว่า  เลนส์กรองแสงนำ้เงินนั้น เพื่อรักษาอาการทางใจ ให้คลายกังวลได้เท่านั้น  และอย่าไปโฆษณาว่ามันจะทำให้ท่านไม่เมื่อยตา ไม่ล้าตา ไม่ปวดศีรษะ หากค่าสายตาที่ตรวจอยู่ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะถูก  แล้วจะคิดว่าเลนส์กันบลูจะช่วยกลบเกลื่อนค่าสายตาที่ uncorrected ก็คงจะไม่มีเรื่องนั้น  แต่ถ้าการห้อยพระทำให้ท่านรู้สึกสบายใจขึ้น มั่นใจขึ้น ก็คงไม่ได้ผิดอะไร  เช่นเดียวกัน ถ้าการใส่ blue block ทำให้ท่านรู้สึกสบายใจขึ้น ก็คงไม่ผิดเช่นกัน  ดังนั้น ผู้ขายขายได้ถ้าอยากขาย  ส่วนผู้ซื้อก็ซื้อได้ถ้าสบายใจ  แต่อย่าไปคาดหวังมันจนเกิดเหตุว่ามันจะช่วยอะไรได้มากกว่าความสบายใจ ถ้าสายตายังแก้กันไม่ค่อยจะถูกต้อง  เพราะเท่าที่สังเกตมา คนไทยจำนวนมาก เราแยกระหว่างคำจริงกับคำโฆษณาไม่ค่อยออก 

 

2.Acommodation Problem 

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบการเพ่งของเลนส์ตานั้นมีอยู่หลายอย่างซึ่งมีอาการแสดงแตกต่างกัน  เช่น

 Accommodative Insufficiency คือกำลังเพ่งของเลนส์แก้วตาไม่พอต่อระยะที่ต้องการจะดู  ตัวอย่างเช่น สายตาคนแก่ ที่ดูใกล้ไม่เห็นนั้นเป็น Accom insuf. จากการเสื่อมตามอายุที่เห็นได้ชัด  แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กได้ด้วยเช่นกัน  

 

ill-sustain accommodation  คือคนไข้ที่ไม่สามารถที่จะเพ่งดูใกล้เพื่อดูหรืออ่านต่อเนื่องได้  ซึ่งอาจจะเกิดจากกำลังเพ่งที่ลดลง อาจจะด้วยวัย หรือด้วยปัญหาสุขภาพบางอย่าง หรือแม้แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อตา 

 

Accommodative Infacility  คือคนไข้มีความยืดหยุ่นของการโฟกัสไม่ดี ทำให้มีปัญหาในการเปลี่ยนระยะการมองเช่น ใช้เวลาในการโฟกัสนานเมื่อเปลี่ยนระยะการมองจากไกลมาดูใกล้ หรือจากใกล้ไปดูไกล 

 

Accommodation Fatigue  คือคนไข้ที่กำลังเพ่งเกิดอาการล้า จากการใช้งานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน  

 

Accommodative Spasm คือคนไข้ที่มีปัญหาเลนส์ตาเกร็งค้าง  ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อควบคุมเลนส์ตานั้นล๊อกตัวแล้วไม่ยอมคลาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุ ให้เกิดสายตาสั้นเทียมขึ้นมา โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่มีกำลังเพ่งสูงๆ  และชอบดูใกล้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ 

 

3.ความพร้อมเป็นสิ่งจำเป็น

ประเด็นของเคสนี้ที่สำคัญก็คงจะเป็น "ความพร้อม" ทั้งห้องตรวจ ทั้งผู้ตรวจ และ คนไข้ ที่ต้องพร้อมทั้ง ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ ในการเข้ารับการตรวจสายตาในคลินิกทัศนมาตร  ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันเสียใหม่ของการบริการด้านสายตาในบ้านเรา 

3.1 ความพร้อมของคนไข้ 

เคสนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า จะเกิดความผิดพลาดอย่างไรถ้าหากตรวจสายตาและฟังก์ชั่นของคนไข้ในภาวะที่ร่างกายนั้นไม่ปกติ  และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเคสนี้เป็นเคสใหม่ที่ไม่เคยมีประวัติไว้อ้างอิง  ซึ่งผมเชื่อว่า ผู้ตรวจที่เข้าใจไม่มีทางที่จะจ่ายเลนส์ในวันที่ภาวะร่างกายไม่พร้อมอย่างนี้  ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือ ไม่รู้ ก็คงเรียบร้อยไปเรียบแล้วก็ค่อยตามแก้เอา จริงๆก็เรื่องเดียวกันถ้าต้องกลับมาแก้ไข  

 

3.2  ความพร้อมของผู้ตรวจ 

การตรวจ comprehensive eye exam  ในทางคลินิกทัศนมาตร หรือที่จะเรียกว่า Routine Eye Exam นั้น เป็นการตรวจสกรีนดูดวงตาและระบบการมองเห็นทั้งหมด ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบการหักเหแสง (refractive examination)  ระบบกล้ามเนื้อตาและการทำงานร่วมกันของสองตา (extra ocular muscle / binocular vision) และสุขภาพตา ซึ่งก็ต้องดูกันตั้งแต่ขนตา เปลือกตา น้ำตา กระจกตา เลนส์ตา วุ้นตา จอประสาทตา และการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานเกี่ยวกับตา   

 

 

ดังนั้นการตรวจทางทัศนมาตร จึงไม่ใช่เรื่องการมาแข่งขันกันในเรื่อง volum ของการตรวจ แต่เป็นเรื่องการใส่ใจใน Quality ขอบการตรวจ  ไม่ใช่เรื่องของการตรวจให้เร็วเพียง 5 นาทีแล้ว ขายแว่นรอรับได้ใน 45 นาที อย่างที่คนไทยคุ้นเคย  เพราะ Speed กับ Quality นั้นสวนทางกันเสมอ  ยิ่งขับรถเร็วยิ่งอันตรายและพลาดชมสิ่งต่างๆเรี่ยรายทาง  ยิ่งขับช้ายิ่งปลอดภัยและได้รายละเอียดรอบทางได้ดีกว่า  เฉกเช่นเดียวกัน การเร่งตรวจย่อมนำไปสู่ความผิดพลาดในการตรวจและพลาดการพบความผิดปกติเล็กๆน้อยๆไป  "ช้าๆย่อมได้พร้าหลายเล่มงาม"   

 

กระบวนการตรวจทั้งหมดนี้ เป็นจริยธรรมของทัศนมาตรพึงปฏิบัติให้ครบถ้วน  ดังนั้น ในขั้นตอนการตรวจทางทัศนมาตรนั้น แม้จะตรวจตาม complain ก็คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชม.​ดังนั้น ทั้งผู้ตรวจและคนไข้จึงต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย และ จิตใจ และสำคัญทีสุดก็คงจะเป็น ตั้งใจตรวจของผู้ตรวจ และตั้งใจที่จะให้ความร่วมมือในการรับการตรวจ  ผลที่ได้จึงจะเป็นค่าที่ดีที่สุด 

 

3.3 ความพร้อมของห้องตรวจ 

ห้องตรวจทัศนมาตรนั้น เป็นห้องที่ต้องควบคุมความมืดสว่างของไฟในห้องตรวจ  บางเทสต้องการความมืดสนิท เพื่อให้ม่านตาขยาเต็มที่ เพื่อให้ aberration ทั้งหมดได้คายออกมาทั้งหมด  แต่ในบางเทสก็ต้องการความสลัวเพื่อให้รูม่านตาเปิดใหญ่ เพื่อป้องกัน depth of focus จากรูม่านตาใหญ่ที่ไปรบกวนการตรวจ   และในบางเทสก็ต้องใช้ความสว่างปกติ เพื่อให้การตอบสนองของรูม่านตานั้นเหมาะสมกับภาพในชีวิตประจำวัน  เพราะความเล็กใหญ่ของรูม่านตานั้น ส่งผลต่อค่าความคลาดเคลื่อนของสายตาโดยตรง  

 

ดังนั้นความสำคัญจึงต้องเริ่มตั้งแต่ห้องตรวจมาตรฐาน 6 เมตร  มีขอบเขตชัดเจน สะอาด ปลอดภัย และคุมความมืดสว่างของไฟได้  และถ้าพื้นฐานเหล่านี้ยังไม่ได้ ก็คงไม่ต้องไปพูดถึงมาตรฐานของการตรวจต่อ  ในเมื่อการตรวจไม่ได้อยู่ใน standard reference ค่าที่ได้ก็คงจะไม่สามารถนำไป reference ได้เช่นกัน  

 

ทิ้งท้าย

สิ่งที่อยากจะบอกทุกท่านก็คือ ถ้าท่านเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการมองเห็นของตัวเองจริง รักสุขภาพของตนเองจริง และอยากให้การแก้ไขป้ญหาของตนเองนั้นถูกต้องที่สุดจริง  ท่านต้องให้ความสำคัญในการตรวจสายตากับทัศนมาตร  ให้เวลา ให้ความสำคัญ  ทั้งในการพักผ่อนเพียงพอ ไม่เข้ามาตรวจขณะที่ร่างกายไม่พร้อมหรือล้ามากๆ  ซึ่งเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงเช้าหลังจากที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่นอนดึก  

 

เวลาที่ไม่เหมาะสมคือ หลังจากหักโหมใช้สายตามาอย่างหนักอย่างต่อเนื่องแล้วเข้ามาตรวจสายตา  เวลาหลังบ่าย 3 โมงเย็น หรือหลังเลิกงานนั้น ต้องมั่นใจว่า ในวันนั้นท่านไม่ได้หักโหมใช้สายตาหนักมา และสิ่งที่ไม่ควรที่สุดคือมาตรวจสายตาหลังเลิกงาน  เนื่องจากจะทำให้ค่าที่ได้จากการตรวจนั้น เกิดความคลาดเคลื่อนจนถึงอาจสร้างปัญหาชีวิตให้ท่านได้  ทั้งเสียเงิน เสียเวลามาแก้ไข เสียความรู้สึก และเสียคุณภาพชีวิต  เพราะว่าเลนส์สายตานั้น ไม่ว่าสายตาที่อยู่บนแว่นที่เราใส่อยู่นั้นจะเป็นค่าที่ถูกหรือผิด  ใส่ได้หรือใส่ไม่ได้  ใส่ได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ราคาเลนส์ย่อมเท่ากัน เพราะผู้ผลิตเลนส์ทำโครงสร้างที่ดีที่สุดให้ท่านได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผู้ผลิตไม่มีทางทราบได้เลยก็คือ ค่าสายตาที่สั่งให้ทำนั้นถูกต้องมากน้อยแค่ไหน  ก็อยากจะฝากไว้ให้เข้าใจ

 

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม

 

ดร.ลอฟท์

 

578 Wacharapol Rd, Bangken ,BKK ,10220

Google Maps: https://goo.gl/maps/PQpXxquxYiS2

fb : www.facebook.com/loftoptometry

line id : loftoptometry

090 553 6554