เลนส์โปรเกรสซีฟในปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าความกลัวต่อโปรเกรสซีฟเลนส์ก็ยังมีให้เห็นอยู่เหมือนเดิมและไม่มีทีท่าว่าความกังวลนี้จะหมดไปทั้งกับผู้ให้บริการและผู้รับบริการที่ประสบความล้มเหลวในการจ่ายเลนส์ของผู้ให้บริการและล้มเหลวจากการใส่เลนส์ของผู้รับบริการ
สาเหตุสำคัญเรื่องหนึ่งคือความรู้ความเข้าใจในรากฐานของเลนส์โปรเกรสซีฟนั้นมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ใน textbook ซึ่งเป็นตำราฝรั่งที่เราต้องไปหาศึกษาจึงจะเข้าใจ แต่ด้วยกำแพงทางภาษาทำให้เราเข้าถึงความรู้เหล่านั้นได้ยากทำให้แหล่งความรู้ของผู้ให้บริการส่วนใหญ่นั้นได้มาจาก lens supplier เป็นหลักซึ่งเป็นความรู้ที่ออกแบบขึ้นมาโดยนักการตลาดมากกว่าความรู้ของวิศวกร นักการตลาดสนใจเพียงเรื่องเดียวคือทำอย่างไรให้ปิดการขายได้ง่าย นำไปสู่เคล็ดลับของการสร้างอภินิหารเพื่อการเชียร์ขายมากกว่าความรู้ความเข้าใจพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น ความกว้างของโครงสร้างเลนส์โปรเกรสซีฟนั้น ถูกนำไปใช้ในการเชียร์ขายอย่างสนุกสนานว่า เลนส์รุ่นนี้กว้างเท่านี้ รุ่นนั้นกว้างเท่านี้ รุ่นนี้แบรนด์นี้กว้างกว่ารุ่นนั้นแบรนด์นั้น และก็เล่าๆบอกๆกันต่อมา ทั้งที่การมองเห็นนั้นเป็นเรื่องเฉพาะคนมองแทนกันไม่ได้ อยากเห็นต้องมองเอง
แต่น้อยคนที่จะเข้าใจว่าโครงสร้างที่กว้าง/แคบนั้นนั้น กว้างจากอะไรหรือแคบนั้นแคบจากอะไร detail lens บอกเราว่า เลนส์แพงๆเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์มันจะกว้างจะกี่องศาก็สุดแท้แต่ marketing artwork จะทำกราฟิกใส่ pricelist แต่ก็มีถมเถที่ผู้ใช้งานจริงใส่รุ่นทอปแล้วก็ยังใส่ไม่ได้ ย้ายรุ่นก็แล้ว ย้ายค่ายเลนส์ก็แล้วก็ยังไม่ตอบโจทย์ ทำให้เราต้องกลับไปคิดว่าผู้ที่ใส่ได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับรุ่นเลนส์จริงๆหรือไม่หรือมีปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่า
จากประสบการณ์การทำงานเป็น lens consultant ให้กับบริษัท Rodenstock Asia ประเทศไทย ในช่วงเวลาหนึ่ง (2010-2014) ซึ่งงานหลักคือนักวิชาการด้านผลิตภัณฑ์เลนส์โรเด้นสต๊อกซึ่งจะต้องเข้าใจแก่นของเลนส์ในแต่ละรุ่นทั้งแนวคิด การออกแบบ และ การผลิต ว่ามีข้อดีข้อเสียในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่จะส่งต่อข้อมูลให้กับร้านค้าตัวแทนได้เข้าใจและนำไปใช้ได้ถูกต้อง รวมไปถึงต้องรู้โครงสร้างของเลนส์ค่ายต่างๆซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าเพื่อจะต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์แบบจุดต่อจุด ก็ได้ข้อสรุปมาอยู่ 3 เรื่องซึ่งเป็นแก่นแท้ๆของเลนส์โปรเกรสซีฟ ซึ่งถ้าทำได้สมบูรณ์ครบทั้งสามนี้แล้ว ถ้าเลนส์ไม่เลวจริงๆ ทุกคนจะสามารถใส่เลนส์โปรเกรสซีฟได้อย่างมีความสุข คนที่ใส่ไม่ได้คงจะไม่มี แต่ที่ส่วนใหญ่ยังใส่ไม่ได้ก็มาจาก 3 เรื่องนี้เอง
เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้นานแล้วและเห็นว่ามีคนสนใจอ่านพอสมควร ผมก็เลยนำมาเขียนอัพเดตใหม่ จัดเอกสารใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น เพื่อลดความ fail ให้กับทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการที่จำเป็นต้องใจเลนส์โปรเกรสซีฟ ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความเรื่องนี้จะสามารถสะท้อนไปทั้งใน lens supplier ที่คุยเรื่องพื้นฐานให้ dealer เข้าใจถึงขีดจำกัดต่างๆมากกว่านั่งประดิษฐ์ gimmick marketing ที่ดูสวยหรูเพียงอย่างเดียว เมื่อ dealer เข้าใจ ความผิดพลาดก็จะลดลง ยอดสูญเสียจากการเคลมก็ลดลง คนไข้ก็ทำแล้วจบไม่ใช่จะต้อง visit กันวันเว้นวันหรือ shopping around ไปทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการสูญเสียทรัพยากรโลกโดยใช่เหตุ จึงเป็นที่มาของบทความเรื่องนี้
เรามาเริ่มกันเลย.....
เลนส์โปรเกรสซีฟนั้นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสายตายาวในผู้สูงอายุ (Presbyopia) โดยมีอาการสำคัญคือมองใกล้ไม่ชัด ต้องเลื่อนหนังสือออกไปห่างออกไป เมื่อห่างออกไปตัวหนังสือก็ดูเล็กลงทำให้มองไม่เห็นหรืออ่านไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องอ่านในที่ที่มีแสงน้อย (จากรูม่านตาจะใหญ่ขึ้น depth of focus ทำงานได้น้อยลง ทำให้ชัดลึกน้อยลง ต้องออกแรงเพ่งของเลนส์แก้วตามากขึ้น) ซึ่งเป็นปัญหาของคนวัยสี่สิบปีขึ้นไปที่ต้องเจอกันทุกคน และอาการแสดงในแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตาม
- คนที่สายตาสั้น จะเริ่มมองลอดแว่นหรือถอดแว่นเมื่อต้องอ่านหนังสือ
- คนสายตามองไกลปกติ จะเริ่มเลื่อนหนังสือห่างออกไปเมื่อต้องดูใกล้
- คนสายตายาวมองไกลแต่กำเนิด นอกจากดูใกล้ไม่ชัด มองไกลก็จะเริ่มมัวลงด้วย เดี๋ยวชัด เดี๋ยวไม่ชัด
เมื่อมีปัญหาและต้องการแก้ไข ครั้นจะใส่แว่นอ่านหนังสือ...ก็มองไกลไม่ชัด ต้องมองลอดแว่น ทั้งเสียบุคลิค บ่งบอกอายุ ครั้นจะใส่เลนส์สองชั้น ระยะคอมพิวเตอร์ก็มองไม่เห็นเพราะเป็นระยะกลาง หนำซ้ำยังดูแก่ ไม่สวยงาม ใครก็อยากดูหรือรู้สึกว่าดูหนุ่มดูสาวกันทุกคนแหล่ะว่าไหมหล่ะครับ ซึ่งความรู้สึกนี้คนที่ไม่มีอาการจะไม่มีทางเข้าใจว่า "กะอีแค่เรื่องง่ายๆที่เคยทำได้แบบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรในตอนเด็ก อยู่ๆสมรรถภาพในการดูใกล้ก็หายไปแบบดื้อๆ" มันทำให้เรารู้สึกถึงความชราที่กำลังคืบคลานเข้ามาและดูว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอเรายอมรับว่าเราย่างเข้าสู่วัยชราแล้วเราก็เลิกต่อต้นมันและเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงของไตรลักษณ์
เลนส์โปรเกสรสซีฟจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งฟังก์ชั่นและความสวยงามคือสามารถมองเห็นได้ชัดทุกระยะและไม่มีรอยต่อซึ่งดูสวยงามกว่า ทำให้ปัจจุบันนั้น ตลาดเลนส์โปรเกรสซีฟนั้นเติบโตมากและโครงสร้างในปัจจุบัน ก็ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก เพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย สามารถจัดการกับภาพบิดเบี้ยวได้ดีขึ้น ใส่ง่ายขึ้น ปรับตัวง่ายขึ้น ในปัจจุบันเลนส์โปรเกรสซีฟจึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสายตาคนแก่
แต่กระนั้นก็ตามแต่ คนที่ประสบความสำเร็จกับเลนส์โปรเกรสซีฟจริงๆหรือสามารถได้ใช้งานเลนส์โปรเกรสซีฟแบบเต็มประสิทธิภาพของมันนั้นส่วนตัวคิดว่าน้อยกว่าคนใส่ไม่ได้อยู่มาก ส่วนใหญ่แล้วก็ใส่ๆถอด ๆ ใส่ไม่ติดตา รำคาญ ต้องคอยขยับแว่น บางคนตกบันได ปรับตัวไม่ได้เข็ดไปเลยก็มี ทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้น วันนี้ก็เลยเอาหัวใจของเลนส์โปรเกรสซีฟมาเล่าให้ฟัง ซึ่งมีกันอยู่ 3 เรื่องที่ผู้จะจ่ายเลนส์โปรเกรสซีฟจะต้องรู้ก็คือ สายตา(ที่ถูกต้อง) กรอบแว่น(ให้เหมาะสม) ฟิตติ้ง(ให้ได้พีดีตรงกับเซนเตอร์) เท่านี้ จะช่วยให้คนไข้ใช้งานโปรเกรสซีฟได้ง่ายขึ้นมาก ซึ่งวันนี้เราจะไปรู้เหตุผลว่าทำไมถึงทำให้คนไข้สามารถปรับตัวกับโปรเกรสซีฟได้ง่าย
1. ค่าสายตา (refractive error)
2. กรอบแว่น ( frame parameter)
3. พีดี (pupillary distant)
มีแค่นี้แหล่ะ ....จบแล้ว...ง่ายมั้ย...ถ้าเข้าใจ 3 เรื่องนี้ผมว่าเราสามารถช่วยให้คนไข้ทุกคนสามารถใส่เลนส์โปรเกรสซีฟได้อย่างสบายและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องปรับตัวเข้ากับเลนส์ไม่ได้ ถ้าโครงสร้างโปรเกรสซีฟคู่นั่นไม่แย่จริงๆ ถ้าเราทำครบหมดอย่างดีแล้วคนไข้ยังใช้ไม่ได้ ย้ายค่ายเลนส์คือคำตอบและเลิกกลับไปใช้ เป็นทางออกที่ดีที่สุด ถ้าเรียนมามาก รู้มาก ฝึกมาก แล้วต้องมาตายด้วย product อันนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ เพราะชื่อเสียงของเราไม่ควรถูกทำลายด้วยเลนส์ที่ไร้คุณภาพ หมอเก่งๆไม่ควรมาตกม้าตายด้วยยาไม่ได้คุณภาพฉันใดฉันนั้น เพราะคนไข้ก็ต้องคิดว่า แล้วหมอไม่รู้หรือว่ายามันไม่ได้คุณภาพ ถ้ารู้แล้วจ่ายทำไม เพราะแน่นอนว่าคนไข้จะต้องโทษคนจ่ายผลิตภัณฑ์มากกว่าโทษผลิตภัณฑ์แน่นอน
แม้ว่าเลนส์โปรเกรสซีฟจะเป็นเลนส์อเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้ในทุกระยะและไม่มีรอยต่อให้เห็น แต่ปัญหาของการปรับตัวกับเลนส์โปรเกรสซีฟนั้น คือภาพบิดเบี้ยวที่อยู่ด้านข้างของเลนส์ ซึ่งถ้าเลนส์ไม่ดี ด้านข้างจะเบี้ยวมาก ใส่แล้วคลื่นใส้ อยากอาเจียน ภาพจะโคลงเคลงเวลาเดิน ชวนเวียนหัว บางคนก็เข็ดไปเลยก็มี ส่วนเลนส์คุณภาพดีๆ ด้านข้างของเลนส์จะไม่ถึงกับภาพเบี้ยวมากนัก แต่เป็นภาพลักษณะมัว สนามภาพกว้าง ทำให้สามารถปรับตัวได้ง่าย แต่เราก็คงเคยเห็นคนไข้ที่เราจ่ายเลนส์ดีไปแล้วก็ยังคงมีปัญหา ซึ่งมันคงจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่แท้ ดังนั้นเรามาคุยกันถึงว่า “ถ้ารุ่นเลนส์ที่เราใช้นั้น เป็นรุ่นที่ดีแล้ว จะทำอย่างไรให้เลนส์คู่นี้ทำออกมาแล้ว ให้มันดีที่สุด”
คนส่วนใหญ่นั้นรู้ว่าเลนส์โปรเกรสซีฟจะต้องมีภาพบิดเบี้ยวด้านข้างเสมอ แต่หลายคนไม่รู้ว่าภาพบิดเบือนที่มีอยู่นั้นคืออะไร มีสาเหตุจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเอามันออกยังไง และส่วนใหญ่ก็จะรู้จากปากของ ดีเทลล์เลนส์ (คล้ายดีเทลล์ยา) ว่าเลนส์รุ่นนี้มีมุมมองกว้างกว่ารุ่นนั้นรุ่นนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ และร้านค้าตัวแทนก็มักจะส่งสารต่อคนไข้ไปอย่างนั้นโดยไม่ค่อยได้เอะใจว่า มันเป็นจริงอย่างที่เซลล์ขายของพูดหรือไม่ และพอมีปัญหาขึ้นมาเรานี่แหล่ะที่ต้องรับหน้าแทนเซลล์เลนส์ ดังนั้นการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มด้วยการทำความเข้าใจว่าภาพบิดเบี้ยวที่ว่านั้นคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร และถ้าจะแก้ไขหรือทำให้ภาพเบี้ยวลดลงเราก็จะได้แก้ที่สาเหตุน่าจะเป็นทางที่ให้ผลดีที่สุด
Distortion เป็น aberration ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ภาพที่เรามองเห็นนั้นแตกต่างไปจากวัตถุจริง ซึ่งมีเหตุเนื่องจากการหักเหแสงที่วิ่งผ่านเลนส์นั้นเกิดการหักเหที่ผิดปกติ ทำให้เกิดภาพที่ผิดปกติ ท่านที่สนใจศึกษา aberration ต่างๆนั้นสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์นี้ >> https://www.loftoptometry.com/ผลกระทบของ Aberration ต่อการมองเห็น
คุณสมบัติเลนส์หลายๆชั้นแต่ไม่มีรอยต่อนั้นคือลักษณะสำคัญพิเศษของเลนส์โปรเกรสซีฟ ตรงกันข้ามกับเลนส์สองชั้น (bifocal) หรือเลนส์สามชั้น (trifocal) ที่เราสามารถมองเห็นรอยต่อของเลนส์ได้อย่างชัดเจน สิ่งที่เราต้องคิดต่อไปคือทำไมเลนส์สองชั้น เลนส์สามชั้นจึงมีรอย และพอหลายชั้นแล้วจึงไร้รอยต่อ ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าใจเลนส์หลายชั้นเราต้องเข้าใจตั้งแต่เลนส์คืออะไรและเลนส์ชั้นเดียวกับหลายชั้นต่างกันอย่างไร
เลนส์จะเกิดกำหลังหักเหได้จะต้องมีความโค้ง ยิ่งโค้งมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีกำลังหักเหมากเท่านั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องนี้เช่น กระจกตาเรานั้นมีกำลังหักเหสูงถึง +43.00 D ถึง +45.00D เนื่องจากมีความโค้งมาก ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความหนาบาง เพราะกระจกตาเราบางเพียง 550 micrometer แต่สร้างกำลังได้มหาศาล หรือเราดูสิ่งที่เห็นได้ง่ายๆเช่น contact lens นั้นค่าสายตา -0.50D กับ -15.00D นั้นให้ความหนาไม่ต่างกันหรือบางพอๆกัน และบางกว่าแว่นสายตามาก เพราะแว่นสายตาจะมีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถทำความโค้งได้มากอย่างกับกระจกตาหรือคอนแทคเลนส์ ดังนั้นในตอนนี้ให้เราเข้าใจก่อนว่าความโค้งทำให้เกิดกำลังหักเห (lens power)
Single Vision หรือเลนส์ชั้นเดียวก็คือเลนส์ที่มีกำลังหักเหเดียวซึ่งเกิดขึ้นจากส่วนของผิวความโค้งเดียว หรือ ส่วนหนึ่งของทรงกลมที่มีรัศมีความโค้งเดียวกันในทุกๆแกน เหมือนรูปบน ดังนั้นโฟกัสของแสงก็จะมีความยาวโฟกัสค่าเดียว (F=1/f') ซึ่งในการนำเอา single vision ไปใช้งานนั้นก็เพื่อให้ชัดที่ระยะใดระยะหนึ่งเพียงระยะเดียว เช่นใช้ในการ corrected คนที่มีมองไกลมีปัญหาสายตาสั้น / ยาว / เอียง ที่ระยะไกล แต่ที่เราสามารถใช้ sigle vision ดูใกล้กว่าระยะไกลได้นั้นก็เพราะว่าในลูกตาเรานั้นมีเลนส์แก้วตาซึ่งทำหน้าที่เพ่งเพื่อ varies focus ให้โฟกัสยังสามารถตกบนจุดรับภาพพอดี แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเริ่มไม่สามารถเพ่งได้ด้วยตัวเองจึงต้องอาศัยเลนส์ที่มีกำลังอื่น(โค้งอื่น) มาช่วยในการดูใกล้ ดังนั้นก็จะมีการเอา single vision ไปทำเป็นแว่นอ่านหนังสือ คือใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสที่ระยะหนังสือประมาณ 40 ซม.พอดี ซึ่งคนไข้ที่ใช้แว่นอ่านหนังสือก็จะมีความชัดลึกประมาณ 30-50 ซม.เท่านั้น ไม่สามารถมองไกลเห็น เพราะหนึ่งโค้งหนึ่งพาวเวอร์ ถ้าอยากได้ระยะคอมพิวเตอร์ (50-80 ซม.) ก็ใช้ความโค้งเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสที่พอดีคอมพิวเตอร์ เราก็จะได้เลนส์ที่ใช้งานเฉพาะระยะ
เบื้องต้น เราก็จะเริ่มเห็นปัญหาว่า ถ้าหนึ่งโค้งหนึ่งพาวเวอร์นั้นหรือมองได้เพียงระยะเดียวนั้น ก็ชักจะสร้างปัญหาในการใช้งานจริง เพราะคนปัจจุบันนั้นใช้สายตาทุกระยะทั้งไกล กลาง ใกล้ และออกกำลังกาย จึงมีความพยายามที่จะประดิษฐ์แว่นที่มีหลายความยาวโฟกัสเพื่อให้สามารถมองชัดทั้งไกลและใกล้ชีวิตจะได้ง่ายขึ้น
นวัตกรรมแรกที่เกิดขึ้นมาได้สำเร็จคือเลนส์สองชั้นมีรอยต่อ (bifocal) ซึ่งปัจจุบันเลนส์ประเภทนี้ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ ซึ่งก็จะมี 2 โฟกัส ชิ้นหนึ่งไว้มองไกล ชิ้นหนึ่งให้ดูใกล้ แต่ก็จะไม่มีระยะกลางซึ่งเป็นระยะคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาสำคัญคือเมื่อ power ของสองระยะนั้นต่างกันมากก็จะทำให้ power ต่างกันมาก โค้งก็ต่างกันมากเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถที่จะสมานรอยต่อที่เกิดจากทั้งสองโค้งให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ เราจึงเห็นว่าเลนส์สองชั้นมีรอยต่อ
เมื่อเลนส์สองชั้นนั้นใช้ได้เพียงสองระยะ ก็มีความพยายามของมนุษย์ที่จะพัฒนาให้เกิดเลนส์ที่มีหลายระยะ (multifocal) ซึ่งต้องอาศัยความโค้งหลายๆโค้งมาต่อเรียงกันเกิดเป็นเลนส์หลายชั้นมีรอยต่อ แต่ทีนี้การที่จะเอาส่วนของโค้งที่ไม่เท่ากันมาต่อให้เป็นเนื้อเดียวนั้น มันจะเกิดเป็นสเตปขั้นบันไดเหมือนในรูป นึกถึงเราเอาลูกส้มโอ ลูกส้มเช้ง ลูกส้มเขียวหวาน ลูกมะนาว ไปจนถึงลูกปัด มาฝานๆ บางๆแล้วเอาผิวโค้งมันมาสัมผัสกัน ส่วนที่สนิทกันได้ดีคือส่วนของผิวหน้าสัมผัส แต่ถ้าเลยจากจุดนั้นมาแล้วก็จะเป็นสเตป ซึ่ง ณ เวลานี้เราสามารถได้เลนส์ที่มีฟังก์ชั่นครบแล้ว คือ หลายโค้ง หลายค่าสายตาก็ดูได้หลายระยะ แต่จะทำอย่างไร ให้สเตปมันหายไป เพราะถ้าฟังก์ชั่นได้ แต่เลนส์ไม่สวย คงไม่มีใครกล้าใส่
จากเลนส์ multifocal มีรอยต่อ ซึ่งดูแล้วไม่สวยงาม ก็มีความพยายามที่จะทำอย่างไรให้เลนส์สามารถมีหลายโค้งเพื่อให้เกิดหลายพาวเวอร์แต่ต้องไม่มีรอยต่อ จึงมีการพัฒนาต่อมาเป็นเลนส์หลายชั้นไร้รอยต่อที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ว่า เลนส์โปรเกรสซีฟ (progressive lens ) แล้วจะทำอย่างไรให้เลนส์ที่เกิดจากความโค้งต่างกันสามารถประสานกันจนเป็นเนื้อเดียวกันได้ทุกชั้น (ดูรูปบนประกอบ)
จากรูปบน ถ้าเราจินตนาการว่าถ้าเราเอาเลนส์ 2 โค้งมาประกบกัน เราจะได้หน้าสัมผัสเพียงจุดเดียว ที่เหลือจะแยกชั้นตามรูปบนซ้าย และจากนั้นเราตัดเลนส์สองชิ้นที่ประกบกันตามแนวประสีแดง ก็จะได้เหมือนรูปบนขวา
รูปบนซ้าย เป็นรูปเลนส์ทรงกระบอก (cylinder lens) นำมาผ่าครึ่งของครึ่งออกมา 1/4 ของทรงกระบอก แล้วนำเลนส์ cyliner นั้นประกอบเข้ากับเลนส์ที่เราตัดตามรูปบนขวาก่อนหน้านี้ เลนส์ที่มีความโค้งไม่เท่ากัน ก็สามารถสมานเชื่อมเป็นเนื้อเดียวไร้รอยต่อ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเทคนิคการขัด cylinder surface เข้าไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ prescription ของคนไข้เลย มันจึงเรียกว่า เลนส์สายตาเอียงส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์ ( แต่จำเป็นต้องขัดเข้าไปเพื่อผสานชั้นต่างๆให้เป็นเนื้อเดียวกัน) และ เราเรียกก้อนส่วนเกินนั้นว่า unwanted blique astigmatism และนี่เองเป็นสาเหตุให้เกิด periphery distortion บนโครงสร้างเลนส์โปรเกรสซีฟ
ดังนั้นจะเห็นว่าเราสามารถขัดเลนส์สายตาเอียงเข้าไปกลบสเตปนั้นได้ แต่ Cylinder ที่ขัดเข้าไปนั้นไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับค่าสายตาเลย มันคือ "ขยะล้วนๆ” แต่ขัดเข้าไปให้เลนส์สวยเฉยๆ การอุดรอยต่อของโปรเกรสซีฟด้วย Oblique Cylinder ทำให้เกิดการบิดเบือนด้านข้าง แต่ก็ได้ผลนะ “ได้เลนส์โปรเกรสซีฟที่สวย และ ใช้งานได้จริง เลนส์ใสๆ ใช้ได้ทุกระยะ”
สายตาเอียงนั้นเป็นเลนส์ที่มีค่าสายตาในแต่ละแกนนั้นไม่เท่ากัน และมีการไล่ค่ากำลังสายตาจากพาวเวอร์มากไปหาพาวเวอร์น้อยแบบ smooth gradient จากแกน sphere ไปหาแกน cyliner และเมื่อกำลังมีการเปลี่ยนแปลง กำลังขยายก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้เกิดภาพยืดๆหดๆ ไม่เท่ากัน และเมื่อหันซ้าย/ขวา ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนภาพไหลไม่ทันเมื่อมีการหันหน้าเร็วๆ เรียก distortion ชนิดนี้ว่า spatial distortion และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายๆคนนั้นไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเลนส์โปรเกรสซีฟได้ แต่อย่างไรก็ตามแต่ในเมื่อโปรเกรสซีฟเลนส์จะต้องสมานรอยต่อของเลนส์ด้วยวิธีนี้ ก็จะต้องมีเรื่อง distortion ตัวนี้เข้ามารบกวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันจำเป็นต้องมี ส่วนจะมีมากหรือมีน้อยนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
จริงๆแล้ว ขยะไม่ใช่ปัญหาของบ้าน ถ้าตราบใดขยะนั้นอยู่ในถังขยะที่ปิดมิดชิดในที่ที่เหมาะสม บ้านก็ดูสะอาดดี ไม่มีใครเดือดร้อนกับการมีขยะในบ้าน แต่ปัญหามันจะกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสัตว์เลี้ยงและไม่เลี้ยงเช่น หมา แมว หมี หรือหนู มาคุ้ยขยะออกมาจากถังเพ่นพ่านทั่วบ้านไปหมด มองทางใหนก็เจอแต่ขยะ อันนี้สร้างปัญหาให้กับเจ้าของบ้านแน่นอน
เลนส์โปรเกรสซีฟก็เช่นกันถ้า distortion บนโครงสร้างโปรเกรสซีฟซึ่งเหมือนขยะส่วนเกินที่อยู่บนเลนส์ แต่มันจะไม่สร้างปัญหาใดถ้าหากว่ามันอยู่เป็นที่เป็นทาง คืออยู่รอบนอกๆ ไม่ล้นออกมาเพ่นพ่านบนสนามภาพใช้งาน อันเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น base curve effect , lens tilt , inset ไม่ถูกต้อง เป็นต้น ดังนั้น...ขยะบิดเบือนจาก Unwanted Oblique Astig. ในเลนส์โปรเกรสซีฟจำเป็นต้องมี เลนส์คู่ละแสนก็หนีไม่พ้นครับ เพียงแต่เขามีวิธีที่จะบริหารจัดการขยะที่ดีเท่านั้นเอง แต่อย่างที่บอกครับว่า “ถ้าขยะมันอยู่ในถังขยะดีๆ ไม่วิ่งออกมาเพ่นพ่านขวางหูขวางตาก็คงไม่เป็นอะไร”
ถ้าภาษาเลนส์...ก็คือ...การบิดเบือนด้านข้างก็ควรจะอยู่ด้านข้าง อย่าออกมาเพ่นพ่านในโซนพื้นที่ใช้งาน ไม่ว่าจะจุดมองไกล มองระยะกลาง หรือดูใกล้ และโซนการใช้งานก็ควรจะสะอาดจริงๆ แล้วใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ distortion นั้นไม่ถูกนำไปขยายด้วยกำลังเลนส์ การใช้งานก็ไม่มีปัญหาอะไรกับชีวิตประจำวัน ปรับตัวง่าย มีความสุขกับการใช้สายตา แต่ถ้ามีปัจจัยภายนอกที่จะทำให้ขยะล้นถังออกกระจายทั่วบ้าน เช่น หมา แมว ก็สร้างปัญหากับผู้อยู่อาศัยได้เช่นกัน
ตัวแปรสำคัญ 3 ตัวแปรที่พูดไว้ข้างต้น คือ ค่าสายตา กรอบแว่นตา และระยะห่างระหว่างกึ่งกลางจมูกถึงกลางตาดำ (PD) คือ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้โครงสร้างโปรเกรสซีฟดีหรือไม่ดี
การที่จะสร้างค่ากำลังสายตานั้นเป็นการไปเปลี่ยนแปลงความโค้งของผิวเลนส์ ให้ได้ค่ากำลังตามต้องการ แต่ตัวที่ควบคุมคุณภาพของออพติกที่จะออกมาว่ามีประสิทธิภาพเต็มที่ไหมคือ ความโค้งของผิวหน้าเลนส์ (Base Curve) จะสังเกตได้ว่า ถ้าสายตาสั้นมากๆผิวหน้าเลนส์จะแบนๆ ถ้าสายตายาวมากๆ ผิวหน้าเลนส์จะนูน ๆ นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการบังคับว่า ในการขัดค่าสายตาหนึ่งๆนั้น จะต้องเลือก Base curve ให้เหมาะสมกับมันเท่านั้น คล้ายกันกับทฤษฎีคู่แท้และถ้าไปฝืน Base ที่ไม่ใช่คู่แท้ก็จะทำให้เกิด Base curve effect ส่งผลให้เกิดสายตาไม่พึงประสงค์ขึ้นมา ที่เราเรียกว่า Unwated obliqe astigmatism ทำให้เกิดขยะจากภาพบิดเบี้ยวเข้าไปรบกวนสนามภาพใช้งาน
กฏทางฟิสิกส์แสงว่า “ใน 1 ค่าสายตา จะมี Base Curve ที่เหมาะสมกับมันเพียง 1 Base เท่านั้น” เราเรียก Base ที่เหมาะสมนั้นว่า Base Form Lens และเราจะได้เลนส์ในอุดมคติออพติกที่ดีที่สุด เกิดความคลาดเคลื่อนของค่าสายตาที่น้อยที่สุด โครสร้างเลนส์โปรเกรสซีฟก็จะดีที่สุด
แต่ในทางการผลิตนั้น การที่จะต้องใช้ 1 โค้งต่อ 1 ค่าสายตานั้น มันเป็นการลงทุนที่มหาศาลไม่คุ้มทุนที่จะผลิต แค่ลำพังจะทำโครงสร้างสำหรับสายตา +8.00D ถึง -10.00D ใน 0.25/step ก็คงจะต้องมี base curve มหาศาลที่จะต้องหล่อแม่พิมพ์ขึ้นมา และยังไม่นับในกรณีที่เป็นเลนส์สายตาเอียงที่ในเลนส์ข้างหนึ่งนั้นมีสายตามากกว่าหนึ่งค่า ซึ่งย่อมไม่สามารถทำเลนส์ข้างเดียวให้มีสอง base curve ได้ ดังนั้นเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้จึงจำเป็นจะต้อง group base แทนที่จะเป็น 1: 1 กลายเป็น 1: many คือเอา 1 Base คุมค่าสายตาเป็นช่วง ( one base cover many range power) เช่น ใช้ Base 3.5 ในการคุมค่าสายตาตั้งแต่ Plano ถึง -4.00 (ดูรูปล่างประกอบ)
แม้ผู้ผลิตเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า จริงๆแล้ว Base Form Lens ของ Base 3.5 คือสายตา -2.00 ส่วนสายตาที่เหลือก็ถือว่า หยวนๆ กันไป ดังนั้น Base 3.5 จะซวยสำหรับทุกคนที่ไม่ใช่สายตา -2.00 เพราะทำเมื่อ Base ไม่เหมาะกับค่าสายตาก็จะทำให้เกิด Oblique Astig. ซึ่งเป็น aberration ออกมาวิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมด ที่เราบอกว่าโครงสร้างมันแคบนั่นแหล่ะ มันแคบจากเรื่องนี้นี่เอง ยิ่งถ้าเป็นสายตาเอียงสูงๆด้วยแล้ว และถ้าโครงสร้างเลนส์ยังไม่มีเทคโนโลยีมารองรับยิ่งสร้างปัญหาได้มาก
ในอดีตจึงมักจะถูกบอกๆกันต่อมาว่าเลนส์ค่ายนี้เก่งสายตาบวก..เลนส์ยี่ห้อนี้เก่งสายตาลบ...แต่ไม่ว่าแบรนด์ไหนถ้าเจอสายตาเอียงก็ต้องระมัดระวัง เป็นต้น เหตุข้างต้นก็เนื่องจากการเกลี่ย Base ให้มากไปในทางตาบวก หรือตาลบ เพื่อต้องการจะจำกัดสต๊อกของ base curve ให้มันคุ้มค่ากับการลงทุน จึงเป็นที่มาของความจำที่บอกกล่าวๆต่อๆมา แต่ปัจจุบันปัญหาลักษณะนี้น้อยลงมากแล้วหลังจากเทคโนโลยีฟรีฟอร์มเลนส์ถูกนำมาใช้ในการผลิตเลนส์ ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับ freeform lens เพิ่มเติมได้จากลิ้ง https://www.loftoptometry.com/เลนส์ฟรีฟอร์มต่างจากเลนส์เทคโนโลยีเก่าอย่างไร
จากเรื่อง base curve นี้เองทำให้เกิดปัญหาอย่างหนึ่งคือเลนส์บางค่ายนั้นไม่สามารถสั่ง base curve lens ได้ เพราะ base ถูกกำหนดไว้สำหรับแต่ละค่าสายตาไปแล้วนั่นเอง แต่ไม่ใช่ปัญหากับบริษัทเลนส์ค่ายดังอย่าง Rodenstock ที่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ให้หมดไปตั้งแต่ปี 2000 (เมื่อ 21 ปีที่แล้ว)
เมื่อไหร่ก็ตามที่ base curve ไม่เหมาะสมกับค่าสายตาก็จะเหนี่ยวนำให้เกิด oblique astigmatism ด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องไม่ลืมว่า เดิมทีต่อให้ไม่มี base curve effect ก็มี unwanted oblique astigmatism อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเจอ oblique astig. จาก base curve effect ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อมีเรื่องนี้เกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือปัญหา
Sphere……เพี้ยนนนน (สั่งอย่างหนึ่งได้อย่างหนึ่งจาก base curve effect)
Cylinder…..ที่สั่งก็เพี้ยน....ที่ไม่ได้สั่ง...ก็แถมให้ (จาก base curve effect)
Prism…. ไม่ได้สั่งก็ประเคนให้เสร็จสรรพ (จาก base curve effect)
ผลลัพธ์คือปรับตัวไม่ได้ เพราะรวมๆแล้วคาดเคลื่อนไปไกลจากค่าจริงอยู่มาก และจะหนักขนาดไหนถ้าเกิดสายตาที่วัดได้ก็ยังวัดผิดๆถูกๆ ยังจัดสายตามั่วๆกันอยู่ ก็ไม่แปลกใจอะไรที่สิ่งเหล่านี้จะตามมาหลอกหลอนทั้งกับผู้ให้บริการตรวจสายตาทำแว่นและคนไข้ที่เข้ารับบริการ
ย้อนกลับไปเมื่อยุค 1900 การผลิตเลนส์โปรเกรสซีฟนั้น ใช้การหล่อแม่พิมพ์โครงสร้างโปรเกรสซีฟไว้ทางผิวหน้าเป็น Add สำเร็จรูป และขัดค่าสายตาไว้ทางผิวหลังของเลนส์ด้วยกลไกของหัวทูล (tools) ดังนั้น โครงสร้างทุกอย่างจะถูกออกแบบสำเร็จจากแม่พิมพ์ และ Base curve เป็นตัวแปรสำคัญที่จะต้องใส่เข้าไปเพื่อควบคุมค่าสายตา แต่ก็ต้องใส่ให้พอดีและผู้ผลิตอยู่ได้ เพราะถ้าละเอียดมากเกินไป สต๊อกจะบวม แล้วธุรกิจก็อาจเดินต่อไม่ได้ ดั่งรูปบนล่าสุดที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่าง
ดังนั้นการแข่งขันเลนส์กันด้านเทคโนโลยีการออกแบบเลนส์ในอดีต จึงไปอยู่ที่ว่าใครมีโครสร้างที่มากกว่าใคร (เน้นถึก) ซึ่งจำนวนโครงสร้างก็มากจากนำ [จำนวน Base curve] x [จำนวน Addition ]= จำนวนโครงสร้าง ตัวอย่างเช่นเลนส์รุ่นเก่ารุ่นหนึ่งของ Rodenstcok ชื่อว่า Progressiv PureLife เป็นเลนส์ชนิด conventional คุมค่าสายตาทั้งช่วงด้วย Base curve จำนวน 6 Base ,และจะทำสต๊อกของค่าแอดดิชั่นทั้งหมด 12 Addition ดังนั้น Progressiv PureLife จะมีโครงสร้าง =6x12=72 โครงสร้าง เป็นต้น แต่ 72 โครงสร้างนั้นไม่ได้แปลว่าจะสต๊อกเลนส์แค่ 72 แบบ แต่ความเป็นจริงแล้วต้องสต๊อกมาถึง 1920 แบบที่แตกต่างกันต่อ 1 ผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเล่นของ Mass product
โครงสร้างโปรเกรสซีฟจำนวน 1920 โครงสร้างนั้น ยังไม่ได้คำนึงถึงลักษณะกรอบแว่นเลยว่า มีความโค้งกี่องศา (Face form angle) มุมเทกี่องศา (Pantoscopitc tilt angle) มีระยะห่างระหว่างเลนส์ถึงกระจกตา (Cornea vertex distant) กี่ มม.และมีระยะห่างระยะห่างระหว่างกึ่งกลางจมูกแต่ละข้างถึงกลางตาดำข้างละกี่มม. (Monocular PD) ซึ่งถ้าผมคำนวณหาค่า Potability ของโครงสร้างเมื่อใส่ค่า พารามิเตอร์ของกรอบแว่นเข้าไป จะต้องมีโครงสร้างโปรเกรสซีฟเป็นจำนวน 13,816,258,560 โครงสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับการสต๊อกโครงสร้างมากมายขนาดนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใส่ค่าพารามิเตอร์เข้าไปในการผลิตแบบเดิม
ดังนั้น การออกแบบเลนส์ตระกูล Front Progressive ได้แก่ Conventional Progressive Lens ทั้งหลายที่ต้องอาศัยแม่พิมพ์จะใช้งานได้กับคนที่มีสายตาง่ายๆ เลือกกรอบมาตรฐาน จึงจะสามารถใช้งานเลนส์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสิ่งที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งในวงการเลนส์คือ เลนส์โปรเกรสซีฟสองด้านนั้น ไม่ได้หมายความว่าขัดใหม่ 2 ด้านแบบ real time แต่หมายถึงการขัดด้านหน้าผ่านแม่พิมพ์และขัดใหม่ทางด้านหลัง เพราะด้านหน้าไม่สามารถขัดอะไรได้เนื่องจากต้องล๊อค axis ด้วย อัลลอยด์ ซึ่งหาดูใน youtube ได้ไม่ยาก https://www.youtube.com/watch?v=p45nuwPe5KU
ถ้ารสนิยมของผู้ใส่เสื้อมีความแตกต่างกันมาก ก็ใช้วิธีการตัดเสื้อหรือตัดสูทจะช่วยลดปัญหาการสร้างสต๊อกได้มาก จะตัดสูทเป็นรูปอะไร ก็สุดแท้แต่ดีไซเนอร์ ไม่มีขีดจำกัด อิสระอย่างแท้จริง จะมีออพชั่นอะไรก็ใส่ลงไป มาทรงใหน ไซต์ใหน ออกงานอะไร เฉดสีอะไร เลือกทั้งหมด
เลนส์ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อตัวแปรที่ส่งผลกระทบกับโครงสร้างเลนส์มันมากมายขนาดนั้น ก็ทำสดคู่ต่อคู่ ออกแบบโครงสร้างคู่ต่อคู่ รอค่าจริง สายตาจริง ค่าพารามิเตอร์ของกรอบแว่นจริง ค่าพีดีจริง คำนวณเป็นคู่ๆ แล้วมาดูว่าเลนส์สายตาที่จะทำนี้เมื่อไปอยู่บนโครงสร้างแว่นแบบนี้ควรจะหน้าตาอย่างไร ถ้าเกิด aberration ขึ้นก็ทำการ optimize ใหม่ให้ได้โครงสร้างที่ดีที่สุดบนตัวแปรที่มี จากนั้นจึงค่อยสร้างโครงสร้างแบบจำเพาะเจาะจงขึ้นมาเฉพาะคน ซึ่งการที่จะทำแบบนี้ได้ก็ต้องพัฒนากระบวนการขัดแบบกลไกมาใช้ซอฟแวร์ในการออกแบบโครงสร้าง หลังจากออกแบบโครงสร้างที่ดีที่สุดแล้วก็สั่งงานให้เครื่อง CNC-Freeform กัดเลนส์ตามซอฟแวร์
ดังนั้นในส่วนแรกที่เป็นเรื่องของสายตานั้น นอกจากจะต้องเป็นค่าสายตาที่ถูกต้องจริงๆ และ ไม่ใช่สายตาที่เกิดจากการจัดสายตาแบบบมั่วๆไป ยังจะต้องเลือกเลนส์ให้เหมาะสมที่มีเทคโนโลยีรองรับปัญหาที่จะเกิดจาก base curve effect อีกด้วย ซึ่งถ้าเป็น Rodenstock ก็เริ่มมีตั้งแต่รุ่น progressiv PureLife Free 2 ขึ้นไป ซึ่งลักษณะที่จะสังเกตได้คือ ถ้าเลนส์ค่ายไหนก็ตามที่ยังไม่สามารถสั่ง base curve ได้อย่างอิสระนั่นก็แสดงว่ายังติดปัญหา base curve effect อยู่นั่นเอง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่รับประกันในเรื่องการตรวจวัดสายตาที่ยังผิดๆอยู่และสายตาจะถูกต้องได้ยากถ้าผู้ตรวจไม่มีสกิลในการทำเรติโนสโคปและยังไม่ได้ทำงานในห้องตรวจที่ได้ความลึกมาตรฐาน 6 เมตร เพราะลึกๆทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่า การวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์มันมีปัญหาและก็มีอยู่วิธีเดียวคือกลับไปฝึกทักษะในการตรวจด้วยเรติโนสโคปในห้องตรวจที่ได้มาตรฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพบิดเบือนแรกสุดนั้นมาจากเทคนิคการสมานรอยต่อด้วยการขัดโครงสร้างสายตาเอียงเข้าไปเกิด distortion จาก unwante obliqe astigmatism และ นอกจากนี้แล้วยังเกิดจาก base curve effect จากสายตาไม่ตรงกับ base curve ซึ่งเราไม่สามารถไปยุ่งอะไรได้ในส่วนนี้เพราะเป็นเรื่องของทางเทคโนโลยีของผู้ผลิต เราทำได้แค่ว่า ถ้าเลนส์ค่ายไหนไม่มีเทคโนโลยีพื้นฐานนี้เราก็ย้ายไปจ่ายเลนส์ค่ายอื่นก็เท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราคุมมันได้คือ ตรวจวัดสายตาออกมาให้ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งความหมายของผมคือให้ทำได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทำโฆษณาว่าตรวจละเอียดถูกต้องแม่นยำที่สุดในโลกตามประสานักการตลาดนั้นใช้ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากการสร้างความคาดหวังลมๆแล้งๆให้คนไข้ สุดท้ายตัวเองก็ต้องมานั่งแก้กรรมที่ตนเองทำลงไป
ปัจจัยอีกตัวที่ส่งผลที่จะทำให้ “ขยะบิดเบี้ยว” นั้นออกมาระเกะระกะบนสนามภาพใช้งานก็คือ เมื่อแสงวิ่งผ่านเลนส์แบบไม่ตั้งฉาก เช่นเมื่อแสงวิ่งผ่านเลนส์ที่มีการเอียงเททำมุม (tilting) หรือมีการเหลือบตามองหลุดตำแหน่งเซนเตอร์ไปยังตำแหน่งต่างๆบนผิวเลนส์ ซึ่งตัวแปรนี้จะสัมพันธ์กับกรอบแว่นที่เลือกโดยตรง ดังนั้นการเลือกแว่นที่จะนำมาทำเลนส์โปรเกรสซีฟนั้น จึงต้องเลือกให้ถูกประเภท ให้เข้าใจเรื่องมุมที่ตามองผ่านเลนส์ และเลือกเลนส์ให้เหมาะกับกรอบแว่น รวมไปถึงเข้าใจการออกแบบโครงสร้างเลนส์ในแต่ละตัว เพื่อให้เรารู้ว่าควรจะดัดแว่นแบบไหน
parameter ของแว่นนั้นทำให้เกิดมุมต่างๆทั้งในแนวแกน x และ y หรือการเหลือบตาซ้าย/ขวา บน/ล่าง โดยแว่นอยู่กับที่นั้นก็จะทำให้เกิดการมองผ่านมุมที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งการมองผ่านเลนส์แบบไม่ฉากนั้นเรียกได้ว่าเป็นแสงที่วิ่งผ่านเลนส์แบบ off-axis ซึ่งจะทำให้เกิด unwanted oblique astigmatism ได้เช่นกัน
การวัดสายตาในห้องตรวจเป็นการจำลองให้แสงผ่านเลนส์แบบตั้งฉาก ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แนวการมอง (Visual axis) ที่กระทำต่อเลนส์ที่แตกต่างกันนั้นจะ Induce ให้เกิดค่ากำลังสายตาต่างกัน ดังนั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวัดสายตาและวัดค่ากำลังเลนส์นั้นจะถูกออกแบบมาให้แสงผ่านเลนส์แบบตั้งฉาก เช่น เครื่องวัดค่ากำลังเลนส์ (Lensometer) จะออกแบบมาให้มีขาสปริงสำหรับล๊อคเลนส์ เพื่อให้เลนส์นั้นตั้งฉากกับแนวแสงที่วิ่งผ่านเลนส์ จึงจะได้ค่าที่ถูกต้องและแม่นยำ และเครื่องมือที่ใช้ในการวัดสายตานั้น จะถูกออกแบบมาให้มีลักษณะที่จะทำให้เลนส์ตั้งฉากกับแนวการมอง ไม่ว่าจะเป็นแว่นลอง (Trial frame) หรือ กระโหลกวัดตา (Phoropter) เพื่อไม่ให้เกิดการมุมเท มุมเอียง ของแนวสายตากับเครื่องมือ ซึ่งจะทำให้ได้ค่าสายตาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
แนวการมองผ่านเลนส์บนแว่นใช้งานจริงนั้นไม่ตั้งฉาก เหมือนขณะใส่บนแว่นจริง ถ้าเราเป็นคนที่ช่างสังเกตสักหน่อยเราจะเห็นว่า กรอบแว่นตานั้นจะมีค่าพารามิเตอร์ของมันที่เฉพาะเจาะจงอยู่ 3 ค่า ที่ต้องรู้จัก คือ
ความโค้งของหน้าแว่น หรือ face form angle เขียนย่อว่า “FFA” ซี่งเป็นมุมที่กระทำกับแนวการมองในแนวแกนนอน (แนวแกน X) ซึ่งกรอบแว่นตาที่ได้มาตรฐานทุกแบรนด์จะทำออกมาให้มีโค้งอยู่ที่ 5-6 องศา ด้วยเหตุผลว่า การเคลื่อนที่ของลูกตาเรานั้น เป็นการเคลื่อนที่รอบจุดหมุน (center of rotation,COR) ไม่ได้เป็นการเคลื่อนที่แบบสไลด์ไปมาทื่อๆบนล่าง-ซ้ายขวา ซึ่งการเคลื่อนที่แบบจุดหมุนนั้น ถ้าแว่นเป็นหน้าตรง ก็จะทำให้ระยะจากผิวหลังเลนส์ (Back vertex distant) นั้นไม่คงที่ ซึ่งระยะที่เปลี่ยนไป ก็จะทำให้ค่าสายตาเปลี่ยน ซึ่งจะส่งให้ผู้ใส่นั้นรู้สึกไม่สบายตา เพราะเกิดการเพ่งเพื่อปรับเข้าหาภาพที่คลาดเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา และความโค้ง 5 องศานี้ เป็นมุมที่สวยงามและเหมาะสมที่สุดในการทำแว่นสายตามาตรฐานทั่วไป
ส่วนกรอบแว่นประเภทอื่น ที่ออกแบบมาให้มีความเป็นสปอร์ต ก็จะทำหน้าแว่นให้มีค่าความโค้งที่มากขึ้น ให้นึกถึงกรอบแว่น Okley หรือ ic!Berlin หรือ Mykita หรือแว่นสปอร์ตอื่นๆ ซึ่งแว่นที่โค้งมากกว่า 7 องศา ขึ้นไปจัดว่าอยู่ในกลุ่มแว่นโค้ง และเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถทำโค้งได้สูงสุดประมาณ 30 องศาโดยประสิทธิภาพของเลนส์ไม่ลดลงคือใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายเหมือนแว่นหน้าตรงและในการออกแบบโครงสร้างโปเกรสซีฟนั้น จำเป็นต้องรู้มุมที่ดวงตากระทำต่อแนวการมองที่ถูกต้องและแน่นอน ซึ่งทางผู้ให้บริการต้องแจ้งค่าดังกล่าวให้กับทางผู้ผลิตเพื่อให้สามารถคำนวณความคลาดเคลื่อนของกำลังเลนส์เมื่อไปประกอบอยู่บนแว่นจริงได้อย่างถูกต้องและจะได้ชดเชยไว้ล่วงหน้า
ดังนั้น เลนส์โปรเกรสซีฟมาตรฐานทั่วไปจะใช้ค่าความโค้งมาตรฐานที่ 5 องศาในการคำนวณโครงสร้าง ซึ่งแว่นที่จะใช้ได้กับรุ่นนี้ต้องมีค่าความโค้งที่ 5 องศา หรือสามารถดัดเป็น 5 องศาได้ จึงจะสามารถได้ประสิทธิภาพการการใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
แต่ถ้าหากแว่นที่เลือกนั้น มีค่าความโค้งมากกว่า 7 องศา จะต้องพิจารณาจ่ายเลนส์รุ่นที่นำค่าความโค้งเฉพาะกรอบแว่นไปคำนวณร่วมด้วยเพื่อให้การคำนวณออกแบบโครงสร้างนั้นสามารถทำได้อย่างแม่นยำและแว่นที่มีลักษณะกรอบแว่นที่โค้งนั้น มักจะจำเป็นต้องใช้เลนส์ที่มีความโค้งของผิวเลนส์นั้นโค้งมากตามกรอบเพื่อให้ประกอบเลนส์ออกมาแล้วแว่นมีความโค้งหน้าแว่นเหมือนเดิม ซึ่งเราจะต้องเลือก Base Curve หรือผิวโค้งของเลนส์ ให้ได้เหมือน Lens demo จึงจะได้ค่าความโค้งหน้าแว่นเหมือนตอนวัดบนเดโมเลนส์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรอบแว่นเซาะร่องโลหะของ ic!Berlin นั้น กรอบแว่นจะโค้งตาผิวเลนส์ ถ้าเลนส์แบนๆ กรอบจะแบนตาม ดังนั้นต้องระมัดระวังถ้าหากว่า เลือกเลนส์ที่สั่ง Base curve ไม่ได้ จะทำให้หน้าแว่นนั้นผิดไปจากเดิม ซึ่งทำให้การคำนวณค่าที่ได้จากการวัดนั้นเป็นโมฆะ และไม่สามารถใส่ใช้งานได้
มุมเทหน้าแว่นหรือเขียนย่อว่า PTA ซึ่งเป็นมุมเทหรือมุมที่กระทำแต่แนวการมองในแนวดิ่ง (มุมแนวแกน Y) ซึ่งมุมเทนี้ เป็นมุมสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเลนส์ทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเลนส์โปรเกรสซีฟถือว่าเป็นเรื่องซีเรียสมาก เนื่องจากมุมนี้จะทำให้ แนวของ Optical center นั้นวิ่งผ่านจุดหมุนของดวงตาพอดี (Center of rotation) ดังนั้น แว่นที่มีคุณภาพดีๆ จะออกแบบมาให้มีมุม Panto 8-9 องศาโดยที่แนวของขาแว่นนั้นขนานกับพื้น
แว่นจำเป็นต้องมีมุม pantoscopic tilt angle ,PTA ด้วยเหตุว่าการเคลื่อนที่ของตาไปยังตำแหน่งต่างๆนั้นเป็นการเคลื่อนที่รอบจุดหมุนทั้งในแนวดิ่งและแนวนอน แว่นจึงต้องมีมุมโอบโค้งสอดรับกับการเคลื่อนที่ซ้าย-ขวา และสอดรับการเคลื่อนที่แนวดิ่งด้วยมุมเทหน้าแว่น และมุม panto ที่ถูกต้องจะต้องเป็นมุมที่แนว line of sight และ optical axis นั้นวิ่งไปตัดที่จุดหมุนของดวงตา
แต่เนื่องจากว่า มุมนี้เมื่ออยู่บนใบหน้าของแต่ละคน จะกระทำมุมที่แตกต่างกันไป จากตัวแปรของตำแหน่งสันจมูกกับร่องหูของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน โดยถ้าตำแหน่งของสันจมูกที่รองรับแป้นจมูกแว่นนั้นอยู่ในระนาบเดียวกับร่องหู ก็จะได้มุมที่สวยงาม 8-9 องศาพอดี ถ้าแนวของร่องหูนั้นอยู่สูงกว่าสันจมูกก็จะทำให้มุมเทนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าสันจมูกอยู่สูงกว่าร่องหู จะทำให้มุม Panto นั้นลดลง และถ้ามุมเทน้อยกว่า 5 องศาเมื่อไหร่จะเริ่มใช้งานยาก โดยเฉพาะเมื่อใช้สายตามองใกล้ ยิ่งถ้ามุม Panto ทำมุมกลับแถบติดลบแล้วหล่ะก็ ใส่ไม่ได้เลย
ดังนั้น แว่นดีๆจึงต้องออกแบบขามาให้สามารถดัดปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน ส่วนแว่นที่ไม่สามารถดัดมุมเทของหน้าแว่น จะต้องใช้เลนส์รุ่นที่สามารถออกแบบตาม Individual parameter จึงจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และในการประกอบเลนส์ชั้นเดียวไม่ว่าจะเป็น Spherical, Aspherical lens ก็ต้องนำไปชดเชย ตำแหน่งสูงต่ำของตาดำหรือ Fitting high คือ ทุกครั้งในการฟิตติ้งจะต้องทดความสูงของตำแหน่งตาดำ โดยให้ปรับ FH ลง 1 มม ต่อมุม panto 2 องศา เช่น ถ้าเกิดว่าแว่นที่คนไข้ใส่นั้นวัดได้มุม pato 6 องศา ในการประกอบเลนส์ชั้นเดียวจะต้องวางเซนเตอร์ของเลนส์ให้ต่ำกว่าตำแหน่งตาดำจริง 3 มม.
เรื่องนี้คนส่วนใหญ่รู้ว่าจะต้องประกอบเลนส์ให้ optical center อยู่ต่ำกว่าตำแหน่งรูม่านตาจริงประมาณ 4 มม. แต่อาจไม่รู้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น และนี่คือคำอธิบายเพราะแว่นส่วนใหญ่มีมุมเท 8 องศา เมื่อชดเชยมุม panto เพื่อให้ optical axis กับ line of sight วิ่งไปตัดที่ center of rotation นั่นเอง ดังนั้นการประกอบ optical certer ให้ต่ำกว่าตำแหน่งจริงเท่าไหร่นั้นจะต้องดูว่า panto เท่าไหร่ จึงจะให้ค่าที่ถูกต้อง
ส่วนโปรเกรสซีฟรวมถึงเลนส์ชั้นเดียวที่ใช้การขัดแบบฟรีฟอร์มนั้นใช้ Fitting cross ในการฟิตติ้งได้เลย เนื่องจากเป็นเลนส์ที่ออกแบบชดเชย Center of rotation กับมุม Panto มาแล้ว ซึ่งเราจะสังเกตุได้ว่า ในเลนส์ทั่วไปนั้น ตำแหน่งของ Fitting cross นั้นจะอยู่ต่ำกว่า Power มองไกล 4 มม. ก็ด้วยเหตุนี้แหล่ะ เพราะเขาคำนวณว่าแว่นมาตรฐานจะต้องมีมุม Panto 8 องศา แต่จะต่างกับ Rodnestock ที่ใช้ Fitting cross กับ Power มองไกลเป็นจุดเดียวกัน เนื่องจากเขาออกแบบคำนวณโครงสร้างชดเชยไว้เรียบร้อยก่อนจะขัดโครงสร้างจริงลงบนผิวเลนส์ ทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น และไม่ต้องจำเทคนิคการฝนประกรอบ ปรับฟิตสูงต่ำเอาเอง กลายเป็นสูตรลับเฉพาะคน
ดังนั้น ถ้าเลนส์โปรเกรสซีฟที่ใช้อยู่นั้น ดูหนังสือระยะใกล้ไม่ดี ให้เช็คมุม Panto ก่อน ว่าได้มุมถูกต้องตามที่สั่งไปหรือไม่ หรือ ดัดให้ได้พารามิเตอร์ที่ถูกต้องแล้วหรือยัง ถ้าดัดแล้วยังไม่ดี แปลว่าเลนส์คุณภาพต่ำเกินไป
ระยะห่างระหว่างเลนส์ถึงกระจกตาหรือย่อว่า CVD นั้น ส่งผลกระทบทั้งในส่วนกำลังสายตาสั้นยาวที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อเลนส์อยู่ใกล้ตาหรือห่างตาออกไป โดยสายตาสั้น (เลนส์ลบ) นั้นค่ากำลังจะมากขึ้นเมื่อเลนส์อยู่ใกล้ตาและกำลังสายตาจะลดลงเมื่อเลนส์อยู่ห่างออกไป ดังนั้น คนสายตาสั้นมากๆจะรู้สึกแว่นชัดขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ตาและชัดน้อยลงเมื่อแว่นไหลหรือแว่นตกหรือในกรณีการชดเชยเบอร์คอนแทคเลนส์เองก็ต้องปรับค่าสายตาลงในคนไข้ที่สายตาสั้นมากกว่า -4.00D แต่ถ้ากำลังสายตาน้อยๆที่ไม่เกิน -3.00 D กำลังจะเปลี่ยนน้อยมากขนาดที่ไม่มีนัยยะสำคัญที่จะต้องระวัง (ดูตาราง influence of individual parameter ด้านบนประกอบ)
ผลอีกอย่างของ CVD ต่อโครงสร้างโปเกรสซีฟ คือ ทำให้โครงสร้างโปรเกรสซีฟนั้นแคบหรือกว้าง โดยถ้าเลนส์อยู่ใกล้ตามากๆ จะให้สนามภาพที่กว้าง และจะแคบลงเมื่อเลนส์อยู่ห่างตา เนื่องจากปราฏกการ “รูกุญแจ” หรือ Keyhole effect ถือถ้าเราจะทำตัวเป็นถ้ำมอง จะต้องเอาตาไปแนบกับรูเราถึงจะเห็นสนามภาพที่กว้างขึ้น ฉันไดฉันนั้น
และผลอีกอย่างคือ CVD เลนส์ที่อยู่ใกล้ตาทำให้ภาพบิดเบี้ยวต่ำกว่าเลนส์ที่อยู่ห่างออกไป ด้วยเหตุของกำลังขาย (Magnified) คือ เลนส์ที่มีค่าสายตาย่อมมีกำลังขยายและกำลังขยายจะลดลงเมื่อเลนส์นั้นอยู่ใกล้ตา นึกถึงแว่นขยายที่วางอยู่บนพื้น เราจะไม่เห็นว่ามันขยายและมันจะขยายก็ต่อเมื่อ มีอยู่ห่างออกไป ดังนั้น ยิ่งห่างก็จะยิ่งขยาย ทีนี้เลนส์โปรเกรสซีฟที่มีพื้นที่บิดเบี้ยวก็จะถูกขยายให้ดูเยอะ หรือภาพบิดเบี้ยวก็จะถูกขยายให้ดูใหญ่โต ทำให้เลนส์ที่ห่างตาก็จะวูบวาบมากกว่า บิดเบี้ยวมากกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ปรับแว่นให้ชิดตาสิ ถ้าเราทำอย่างนั้น จะช่วยมองไกลได้ดี แต่จะอ่านหนังสือยาก เพราะเลนส์ที่ชิดตามากๆ ทำให้เราต้องเหลือบต่ำมากกว่าจะเจอพื้นที่อ่านหนังสือ
ดังนั้น เลนส์โปรเกรสซีฟจึงมี Ideal position คือ โค้ง 5 องศา มุมเท 8 องศา ห่างลูกตา 13 มม. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ภาพบิดเบี้ยวน้อย อ่านหนังสือง่าย และอยู่ในตำแหน่งที่รู้สึกเป็นธรรมชาติและเนื่องจากมุมเหล่านี้นั้นคำนวณจากแนวการมอง (Line of sigh) มองผ่านเลนส์ในตำแหน่องมองตรง (Primary gaze) และคำนวณแต่ละจุดที่หลุดจากตำแหน่งอ้างอิง ว่าเมื่อหลุดจาก Reference point จะทำให้เกิดมุมตกกระทบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และทำการชดเชย ดังนั้นถ้าเราฟิตติ้งเคลื่อน ก็จะทำให้ค่าทุกอย่างที่คำนวณมานั้น คลาดเคลื่อนทั้งหมด เลนส์โปรเกรสซีฟจึงต้องละเอียดปราณีตตั้งแต่การวัดสายตา การฟิตติ้ง การวัดพารามิเตอร์ของกรอบแว่น การเลือก Base curve และการเลือกโครงสร้างเลนส์ที่เหมาะกับค่าสายตา จนกระทั่งการฝนประกอบให้ได้เซนเตอร์ การแนะนำการใช้งานเบื้องต้นให้คนไข้เข้าใจ และใช้งานให้ๆถูกประเภท
มุมที่กล่าวนี้เป็นมุมที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่งในการจ่ายเลนส์โปรเกรสซีฟ ในอดีตเนื่องจากความรู้เหล่านี้ไม่ได้หากันง่ายๆ แต่จะรู้กันเหมือนเป็นความลับอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ทำให้เกิดมีช่างแว่นเก่งๆที่สามารถดัดแว่นให้คนไข้ไม่กี่ทีก็ชัดใส่สบาย แต่เบื้องหลังก็คือมุมทั้ง 3 นี้แหล่ะครับ ถ้าดัดแล้วยังไม่ได้ ให้กลับไปมองที่ สายตามองไกลว่าถูกต้องหรือไม่ การฝนประกอบคลาดเคลื่อนหรือ ถ้าทุกอย่างถูกต้องหมด แสดงว่าเลนส์ที่ใช้นั้นคุณภาพต่ำ ให้เปลี่ยนแบรนด์ หรือเปลี่ยนรุ่นครับ
แต่ถ้าเราต้องการเลือกแว่นกรอบโค้งๆ แบบสปอร์ตและไม่ต้องการให้ดัดแว่น อยากได้แว่นที่โค้งสวยเหมือน original ก็ต้องใช้เลนส์ที่มีเทคโนโลยี individual parameter ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้ จะมีอยู่ในเลนส์กลุ่ม impression ทุกรุ่น ได้แก่ Impression FreeSign®3 ,Impression® EyeLT2, Impression® Hyperop ,Impression® Myop ,Impression® FashionCurve ,Impression®Sport2 ,Impression® mono sport2 ,Impression® Ergo FS3 ,Impression® Ergo 2
อีกหนึ่งเรื่อง...เรื่องสุดท้าย...คือ PD ของตา (Pupillary Distant:PD)
PD...คือ หัวใจสำคัญ...สำหรับการออกแบบเลนส์โปรเกรสซีฟ สำคัญมากทั้งในส่วนของการออกแบบโครงสร้างเลนส์โปรเกรสซีฟและในส่วนของการประกอบเลนส์ให้ได้เซนเตอร์ตรงกับตำแหน่งตาดำของคนไข้ แม้ว่า PD ไม่ได้ไปทำให้ขยะบิดเบือนเพิ่มหรือลดลง ไม่ได้ไปช่วยให้โครงสร้างกว้างหรือแคบ แต่มันเป็นตัวควบคุมตำแหน่งที่อยู่ของภาพบิดเบี้ยว ไม่ให้รุกล้ำมาอยู่บนสนามภาพใช้งาน พูดง่ายๆ ก็คือ “กวาดขยะออกจากทางเท้า” หมายความว่า ถ้าเราต้องการทำเส้นทางเดินเส้นทางหนึ่ง อาจต้องมีการคดเคี้ยวและระหว่างที่เราเดินไปตามทางที่เดินประจำ เราก็ไม่อยากเดินเหยียบขยะ และ Inset คือ การสร้างทางเดินให้สอดคล้องกับการเดินทางของตาของเรา และการออกแบบ inset มีค่า PD เป็นตัวแปรสำคัญในการออกแบบ
ถ้าเราเปรียบทางเดินของลูกตาที่ต้องมองผ่านเลนส์โปรเกรสซีฟ ทางเดินของลูกตาเราที่มองผ่านเลนส์ ก็คือ “แนวของ Inset” inset เป็นแนวการเยื้องของสนามภาพใช้งานบนเลนส์โปรเกรสซีฟ ซึ่งที่ต้องออกแบบให้เลนส์โปรเกรสซีฟมี Inset เนื่องจากขณะที่เราดูใกล้นั้น ตาเราจะเหลือบเข้ามาอัตโนมัติ และเนื่องจากโปรเกรสซีฟนั้นมีสนามภาพที่ใช้งานได้และใช้งานไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้งานได้มากที่สุด ก็ต้องเยื้องสนามภาพให้สอดคล้องกับการเหลือบของตา ซึ่งเราเรียกว่า “Inset” ของเลนส์
ในเลนส์โปรเกรสซีฟยุคก่อนนั้นจะไม่มี inset คือเป็นโครงสร้างท่อวางตัวในแนวดิ่งทื่อๆเลย ดังนั้น เวลาผู้ใช้งานเหลือบตาเข้ามา จะทำให้ตาไปชนขอบของสนามบิดเบี้ยว ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ แล้วเขาก็เริ่มสังเกตว่าจะต้องเยื้องโครสร้างตามการเหลือบของตา ก็เลยเริ่มพัฒนาเป็นเลนส์มี Inset แต่ Inset จะเป็นค่าคงที่ คือ เยื้องเข้าจากตำแหน่งมองไกล 2.5 มม. ซึ่งคำนวณจากคนไข้สายตา 0.00 ,พีดี 60 มม. อ่านหนังสือที่ 40 ซม. ก็จะได้ inset 2.5 มม. ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีเลนส์ประเภทนี้ขายอยู่ แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครเหมือนกันสักคน แม้แต่คนเดียวกัน monocular pd ของตาข้างซ้าย/ขวายังไม่เท่ากันเลย
แต่ทุกคนไม่ใช่ว่า PD จะเหมือนกัน ระยะอ่านหนังสือก็ใช่ว่าจะ 40 เสมอไป และสายตาก็ใช่ว่าจะเป็น 0.00 เสมอไป จึงต้องมีการคิดค้นเทคโนโลยี Variable Inset ซึ่งเริ่มใช้ตัวแปรค่าสายตา ค่าแอดดิชั่น มาคำนวณ inset แต่ยังคงคำนวณจากค่า Standard PD และ อ่านหนังสือที่ 40 ซม. ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้ จะมีอยู่ในโปรเกรสซีฟรุ่น Progressiv PureLife Free 2 ของโรเด้นสต๊อก
แต่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดนั้น ต้องใ่ช้ตัวแปรทั้ง 3 ค่าคือ พีดี,ค่าสายตา,และระยะอ่านหนังสือเฉพาะคน ซึ่งโรเด้นสต๊อกพัฒนาเทคโนโลยีนี้มาให้ชื่อว่า PD-Optimized inset ซึ่งเรามาดูรายละเอียดกันว่า เขามีวิธีคิดในการออกแบบอินเซตอย่างไร
PDหรือระยะห่างระหว่างตาทั้งสองข้าง โดยวัดจากกึ่งกลางจมูกถึงกึ่งกลางตาดำและต้องวัดแยกข้างเรียกว่าวัดแบบ Monocular PD และไม่สามาถวัดรวมได้แล้วจับหารสองได้ เพราะใบหน้ามนุษย์นั้นไม่ค่อยจะสมมาตร เช่น จากรูม่านตาขวาถึงซ้ายวัดได้ 64 มม. ไม่ได้จะแปลว่ากึ่งกลางจมูกถึงตาดำของแต่ละข้างจะกว้าง 32/32 แต่อาจะเป็น 30/34 ก็ได้ และโปรเกรสซีฟไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามภาพในระยะกลางซึ่งจะแคบกว่าระยะอื่น แต่ถ้าต้องเสียไปกับการประกอบ PD ไม่ตรงแล้ว ก็ถือว่า “เสียของ” ดังนั้นต้องระมัดระวัง แสงมีความยาวคลื่นเป็น นาโนเมตร ดังนั้น 1 มม.สำหรับแสงและดวงตานี่ถือว่าไม่น้อย แล้วพีดีสำคัญกับโปรเกรสซีฟอย่างไร
Convergenceหรือการเหลือบตาเข้านั้น เป็นระบบอัตโนมัติเมื่อเราดูวัตถุหรือหนังสือที่อยู่ใกล้ ๆ ตาจะเหลือบเข้ามาเอง ซึ่งการเหลือบตาเข้ามานี้จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับขนาดของPD ถ้าคนที่มีPDกว้าง ก็จะต้องเหลือบเข้าลึกมากกว่าคนที่มีPDแคบ และคนที่มีPDซ้าย/ขวา ไม่เท่ากัน ตาซ้าย/ตาขวาก็จะเหลือบไม่เท่ากัน
ยิ่งเราอ่านใกล้มาก ตาก็จะเหลือบเข้ามา ถ้าอ่านห่างๆ ตาก็จะเหลือบน้อยลง ดังนั้น ในเลนส์รุ่นมาตรฐานจะใช้ 40 ซม. ในการคำนวณเข้าระบบ ซึ่งถ้าต้องการประสิทธิภาพเต็มที่ก็ต้องนำไปใช้ที่ระยะ 40 ซม.
คนที่มีค่าสายตาต่างกันต่อให้มี PD เท่ากัน อ่านที่ 40 ซม.เท่ากัน แต่การเหลือบเข้าจะไม่เท่ากัน เนื่องจากว่าการเหลือบตาเข้าน้ัน เป็นการเหลือบผ่านเลนส์ ไม่ใช่เหลือบตาเข้ามาเปล่าๆ การที่เหลือบผ่านเลนส์ที่มีค่าสายตานั้น เป็นการมองผ่านแบบหลุเซนเตอร์ ซึ่งจะ Induce prism ให้เกิดขึ้นมา
คนที่มีค่าสายตาบริเวณ Readign area เป็นบวก ก็จะเจอกับปริซึม Base out ทำให้ต้องเหลือบตาเข้ามากกว่าปกติ
คนที่มีค่าสายตาบริเวณ Reading area เป็นลบ ก็จะเจอกับปริซึม Base in ทำให้การเหลือบตาเข้าน้อยลง
คนที่มีค่าสายตาบริเวณ Readign zone เป็น 0.00 ก็จะไม่ได้รับอิทธิพลของปริซึม ทำให้การเหลือบตานั้นไม่มีตัวแปรค่าสายตามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น การออกแบบ inset ที่ถูกต้องนั้นต้องประเมินให้ครบทุกตัวแปร
จากรูป รูปแรกเป็นการออกแบบ Inset ที่ไม่สอดคล้องกับการเหลือบ ทำให้รูม่านตาไม่อยู่ตรงกลางโซน ทำให้สนามภาพในระยะกลางและใกล้แคบลง ส่วนรูปสองนั้นเป็นการเยื้องของอินเซตที่สอดคล้องกับการเหลือบ ทำให้สามารถใช้งาานเลนส์ได้เต็มประสิทธิภาพ
เนื่องจาก inset เป็นระยะเยื้องของโครงสร้างโปรเกรสซีฟ คือ โปรเกรสซีฟจะว่าไปก็เหมือนท่อ สำหรับมองไกล มองกลางและใกล้ ซึ่งท่อนั้นบริเวณขอบท่อจะเกิดจากภาพบิดเบี้ยวด้านข้างที่ใช้งานไม่ได้มารบกวน ดังนั้น ยามเราเลือบตาอ่านหนังสือ โปรเกรสซีฟที่ดีจะต้องเยื้องสนามภาพสำหรับใช้งานให้สอดคล้องกับการเหลือบของตา ซึ่งการเหลือบของตาก็ขึ้นอยู่กับขนาดของพีดี ดังนั้น พีดีจึงสำคัญกับ Inset ด้วยประการละฉะนี้แล
ทีนี้มาถึงการออกแบบดีไซน์ Inset ให้สอดคล้องกับการเหลือบ ซึ่งดูๆแล้วก็ตรงไปตรงมา ไม่น่าจะยุ่งยากอะไร เอาเข้าจริงมันไม่ยุ่งถ้าสามารถออกแบบโครงสร้างขึ้นมาใหม่ คือ ถ้าเริ่มต้นด้วยวัตถุดิบจะปั้นเป็นรูปอะไรก็ได้ แต่ถ้าขึ้นรูปมาแล้วจะปั้นเปลี่ยนรูปนี่มันยุ่ง ดังนั้น การออกแบบอินเซต นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับเลนส์เทคโนโลยีเก่าที่ปั๊มโครงสร้างโปรเกรสสำเร็จผ่านทางแม่พิมพ์ซึ่งอยู่ทางผิวหน้า ซึ่งเราเรียกว่า Front progressive lens ซึ่งโครงสร้างที่ปั๊มมาก็จะมีค่าแอดดิชั่น มีอินเซต มีสนามภาพบิดเบือนแบบสำเร็จรูปฝังอยู่บนแม่พิมพ์ และรอการขัดค่าสายตาทางผิวหลัง ซึ่งทำอะไรกับอินเซตไม่ได้เลย เพราะได้วางแนวท่อเรียบร้อยไปแล้ว
ดังนั้น พวกเทคโนโลยีเก่าจะปวดหัวมากเมื่อเจอคนไข้ที่ พีดีกว้างมากๆ หรือแคบมากๆ หรือพีดีตาซ้าย/ตาขวาต่างกันมากๆ ซึ่งอาการที่พบก็คือ สนามภาพในระยะกลางใกล้แคบมาก อาจต้องมองผ่านเลนส์แบบตะแคงหัวไปข้างหนึ่ง หรือต้องหลับตาข้างหนึ่งแล้วสนามภาพกว้างขึ้น อะไรทำนองนั้น ซึ่งอาการคล้ายกับการวางเซนเตอร์ผิด แต่ถ้าเช็คว่าเซนเตอร์ถูกต้องแล้ว แต่คนไข้ยังมีอาการ แสดงว่าเป็นที่อินเซต แต่ไม่ใช่รู้แค่พีดีอย่างเดียวแล้วจะนำไปคำนวณอินเซตที่ถูกต้องได้ แต่ต้องใช้ตัวแปรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย ตัวแปรที่ว่านั้น ก็คือ
1. ค่า Monocular PD หรือ พีดีแยก (ไม่ใช่พีดีรวม)
2. ระยะจริงที่ใช้ในการดูใกล้ โดยปกติจะล๊อคไว้ที่ระยะ 40 ซม. แต่ระยะใช้งานเฉพาะบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน บางคนแขนยาวอาจชอบอ่านหนังสือที่ไกลกว่า 40 ซม.ก็ได้ ส่วนคนที่แขนสั้นอาจชอบอ่านที่ระยะใกล้กว่า 40 ซม.ก็ได้ ซึ่งถ้ายิ่งดูใกล้มาก ก็จะยิ่งต้องการมุมเหลือบที่มากตาม การออกแบบอินเซตก็ควรจะเยื้องท่อโครงสร้างให้มากตามด้วย ส่วนคนที่แขนยาวอ่านหนังสือห่าง การเหลือบตาก็จะน้อยลง การออกแบบอินเซตก็ควรจะเยื้องน้อยลงตามการเหลือบที่น้อยลงด้วย
3. ค่าสายตา+แอดดิชั่น หมายความว่า ค่าสายตาที่รวมกับค่าแอดดิชั่นในแต่ละจุดบนเลนส์โปรเกรสซีฟขณะที่มีการไล่ค่าสายตานั้น จะส่งผลต่อการออกแบบโครงสร้างโปรเกรสซีฟ เนื่องจากการเหลือบดูใกล้นั้นเป็นการมองผ่านเลนศ์แบบหลุดเซนเตอร์ ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำให้เกิดปริซึมเอฟเฟก ส่งผลต่อเนื่องให้ภาพนั้นย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ทำให้ลักษณะของการเหลือบก็เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย
ดังนั้น คนที่สายตามองไกลรวมกับค่าแอดดิชั่นแล้วเป็นเลนส์บวก (มีค่าเป็นบวก) จะได้รับผลของปริซึม Base out ทำให้คนไข้ต้องเหลือบมากขึ้นเมื่อมองผ่านปริซึม Base out ซึ่งตรงข้ามกับคนที่เป็นสายตาสั้น เมื่อเหลือบตาเข้าจะเจอปริซึม Base in ทำให้การเหลือบตาเข้านั้นน้อยลง ซึ่งการออกแบบโครงสร้างโปรเกรสซีฟจะต้องเอาค่าเหล่านี้ไปคำนวณดูว่า คนไข้สายตาเท่านี้ มองผ่านเลนส์ที่มีกำลังเท่านี้ ที่ระยะเท่านี้ จะทำให้ภาพเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างไร ตาจะเหลือบลักษณะไหน มากขึ้น หรอน้อยลง และออกแบบอินเซตให้มีการเยื้องที่เหมาะสม
Rodenstock รุ่นที่สามารถออกแบบ Individual inset จากตัวแปรที่กล่าวมาทั้งหมดจะมีอยู่ในรุ่น Multigressiv MyView 2, Impression FreeSign®3, Impression®EyeLT2, Impression®Hyperop, Impression® Myop, Impression® FashionCurve, Impression® Sport2, Impression®mono sport2, Impression® Ergo FS3, Impression®Ergo 2
ถ้า Inset ไม่เหมาะสม
โครงสร้างกว้าง...ก็เหมือนแคบ
โครงสร้างสะอาด...ก็ดูเหมือนมีขยะ
เพราะการเยื้องของท่อโครงสร้างไม่เหมาะกับการเหลือบ หรือภาษาช่างแว่นเขาเรียกว่า inset ไม่เหมาะสม พอเหลือบไปแล้วเจอขอบท่อบ้างไรบ้าง มันก็ดูเสมือนแคบนั่นเอง
ดังนั้น พีดี...ส่งผลรุนแรงต่อโครงสร้างโปรเกรสซีฟดังกล่าวมา
1. ค่าสายตา ควรเลือกเลนส์รุ่นที่สามารถจัดการกับ Base curve effect ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีสายตาเอียงสูงกว่า -1.50DC ซึ่งมีอยู่ในโรเด้นสต๊อกรุ่น Progressiv PureLife Free 2 ขึ้นไป
2. มุมต่างๆ ที่เกิดจากรอบแว่นเช่น ความโค้งหน้าแว่น (FFA), มุมเทหน้าแว่น (PTA) ก็ส่งผลให้เกิดภาพบิดเบี้ยวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งควรดัดให้ได้ค่าพารามิเตอร์มาตรฐาน หรือใช้รุ่นที่ออกแบบตามค่าพารามิเตอร์เฉพาะบุคคล ; FFA 5 องศา , PTA 9 องศา และปรับระยะห่างเลนส์ถึงกระจกตาคนไข้ให้ได้ 13 มม. ก็จะเหมาะสมกับการใช้งานโปรเกรสซีฟ
3.PD ไปส่งผลต่อเลนส์โปรเกรสซีฟในส่วนของ Inset ทำให้ Inset นั้นเหมาะสมกับการเหลือบ ถ้าไม่เหมาะสม จะส่งผลให้สนามภาพใช้งานกลาง/ใกล้ แคบใช้งานลำบาก
ถ้าสามารถควบคุมทั้ง 3 ตัวแปรนี้ได้ ก็ถือได้ว่าคุณได้กุมหัวใจของเลนส์โปรเกรสซีฟไว้ได้แล้ว ขอให้มีความสุขกับการวัด การจ่าย การสวมใส่เลนส์โปรเกรสซีฟนะครับ
578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม. 10220
โทร 090-553-6554 ,lineID : loftoptometry ,FB: www.facebook.com/loftoptometry
พิจิตรและจังหวัดใกล้เคียง
ถ.ศรีวรา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร 056-61-435
google map : https://g.page/SuthonOptic
เชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
ตรงข้ามมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โทร 064-297-6768