เล่าไปเรื่อย วันนี้อยากคุยเรื่อง "just glasses ,not just glasses" แต่ glasses ในวันนี้ไม่ใช่ที่แปลว่าแว่นตา แต่เป็นแก้ว ที่เป็นแก้วจริงๆ และ แก้วบ้าอะไร ใบละ 7,000 และ ต้องโง่แค่ไหนที่ซื้อมันมา ผมคือหนึ่งในคนโง่คนนั้น (ในสายตาของคนไม่กินกาแฟ)
แก้วที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ ก็คือ specialty glasses dripper ^^ ซึ่งผมไม่คิดว่าชีวิตนี้มันจะมีแก้วราคาแพงขนาดนี้ขายและก็มีคนซื้อและผมก็(บ้า)ซื้อมันมา และ ก็ยังงงๆ ว่า แก้วอะไรถึงได้แพงขนาดนั้น แต่มันก็ทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาบางอย่าง วันนี้เลยอยากจะเล่าไปเรื่อยให้ฟัง
เท้าความก่อน เมื่อไม่กี่วันกัน คนไข้(พี่พีระ)ถือตะกร้ากาแฟ (คล้ายๆตะกร้าหมากของยาย) เต็มไปด้วยเมล็ดกาแฟดริปอยู่หลายสายพันธุ์ และ มีอุปกรณ์ทำกาแฟแปลกติดมือมาด้วย เพื่อมาให้ทำ lab กาแฟกินกัน
ด้วยความที่ผมบ้าเรื่องกาแฟอยู่แล้ว (จริงๆก็บ้าหมด บ้าฟังเพลง บ้าเครื่องเสียง บ้าคราฟท์เบียร์ และ บ้ากาแฟ) แต่แม้ผมจะบ้าเรื่องพรรณนี้ แต่ผมก็ไม่ชอบเสี่ยง ดังนั้น ผมถือคติ “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ผมจึงเลือกที่จะถามผู้รู้ที่เขาผ่านการลองผิดลองถูกมาก่อนเสมอ เพื่อผมจะได้ไม่ต้องลองผิดด้วยตัวเอง (เพราะผมไม่มีเงินให้สลายเล่นกับการลองผิดลองถูกขนาดนั้น (จริงๆมีพอควรแต่ดอยในบิทคอยน์) แต่ถ้ามั่นใจว่าดีจริงก็จะขายบิทคอยน์มาซื้อแบบไม่ลังเลเช่นกัน ชีวิตน่าสงสารเนาะ
เริ่มเข้าวงการ
ผู้ใหญ่ท่านแรกในวงการกาแฟที่เปิดโลกให้ผมเดินตามมาตั้งแต่ต้น คือพี่ินิค (สุพัตรา กาแฟพิเศษ https://www.facebook.com/supatra.cafe ) ทำให้ผมเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะรู้จักการกินกาแฟ (พึ่งรู้ว่าแค่การเอากาแฟเข้าปากมันต้องเรียนรู้ด้วย เขาเรียกภาษาว่า test note) โดยเริ่มตั้งแต่ เรียนรู้บุคคลิกของกาแฟตั้งแต่สายพันธุ์ต่างๆ รสชาติของการคั่วแบบต่างๆ และ วิธีการชงในแบบต่างๆ โดยผมหัดเล่นตั้งแต่ของเล่นอนุบาลหมีน้อย นั่นก็คือเจ้ากาแฟ capsule Nespresso นั่นเอง
กาแฟอนุบาล
การเริ่มเปิดโลกกาแฟทำเองที่บ้านด้วย nespresso ตั้งโชว์หราแสดงความเด็กน้อยของตัวเอง ใครมาก็เชิญเขากดพร้อมเล่านิทานตามแคตาลอคให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ (ว่ากุนี่ของจริง...555 คิดแล้วก็เขินตัวเองในอดีต ที่รู้น้อยแต่เล่นใหญ่) ถ้าสำหรับคนที่เดินทางผ่าน (nes.) มาก่อนคงจะมองแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ แต่คงไม่อยากจะสอนอะไร เพราะเป็นกาแฟที่ newbies เกินไป เขาคงอยากปล่อยให้ศึกษาต่อเอง
กาแฟประถม
ไปๆมาๆ ก็พยายามหาวิธี อยากจะกินกาแฟ ที่เราเลือกเมล็ดเองได้ ไม่ต้องกินแต่รสกาแฟสำเร็จในแคปซูล ก็เริ่มรู้จัก Mokka pod ก็ปล้ำกันอยู่พักใหญ่ เพราะทำยังไงมันก็ขม กระเดือกลงคอยากเหลือเกิน เพราะมันต้องอาศัยน้ำเดือด 100 องศาในการสร้างแรงดันไอน้ำ จะไม่ให้ over exaction ได้ยังไง แต่ก็ยังได้โมเม้นท์แบบว่า “ได้เลือกเมล็ดเอง” รสชาติเป็นไง ว่ากันอีกเรื่อง (แต่ส่วนใหญ่กินไม่ได้) ก็เลยเลิกรากันไป
กาแฟมัธยม
พี่นิคเห็นแล้วสงสารที่ผมกินกาแฟ(ซอง)อัดแคปซูล ก็เลยเมตตา ยิ่งเห็นต้ม Mokka pod กินแล้วก็เห็นใจ ก็เลยเบิกเนตรด้วยการแนะนำให้ผมได้รู้จัก Aram manual coffee maker มาให้ลอง เรียกได้ว่า เปิดโลก espresso ผมไปอีกขั้น (เหมือนอยู่มหาลัยยังไงยังงั้น) เพราะไม่ยักกะรู้ว่า การเป็น barista ทำกาแฟกินเองมันทำได้ง่ายขนาดนี้ และ ผมก็เอามันขึ้นเขาไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ เวลามีกฐิน ผมก็จะหอบชุด barista นี่แหล่ะไปถวายพระ เพราะ มันเล็ก พกพาได้ง่าย ถึงไหนถึงกัน มันจะดีแค่ไหนที่เรามี barista เสริฟกาแฟให้เราบนยอดเขาที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
เมื่อเริ่มรู้จัก espresso แล้วก็ศึกษาต่อ ไปจนพบว่า สิ่งที่ทำยากและอร่อยกว่า ก็คือการรินน้ำใส่กรวยดริปนี่แหล่ะ ซึ่งเวลาเรามองไปที่ barista ที่กำลังดริปกาแฟอยู่นั้น เรามักจะคิดว่า “กะอิแค่เอาน้ำรินใส่กรวย มันจะมีอะไรนักหนา” และ กาแฟมันจะกินได้เหร่อ คงจะบางน่าดู (คิดแบบคนไม่รู้)
จากนั้น ก็เริ่มเข้าสู่วงการดริป ก็เช่นเคย ด้วยความรู้เท่าหางอึ่ง (ยิ่งโตหางยิ่งสั้น โง่ขึ้นนั่นเอง) ก็ไปหาซื้อดริปเปอร์ ตัวละ 300 บาท เครื่องบดหลักร้อย กาน้ำก็เอาเตาไฟฟ้านี่แหล่ะมาต้ม (การคุมอุณหภูมิคืออะไรไม่เข้าใจ) เพราะในความคิดผม กะอิแค่กรวยดริป เครื่องบดก็คือเครื่องบด อะไรก็เหมือนๆกัน ทำไมจะต้องใช้ตัวดีๆ
แต่พอดริปเองก็ไม่อร่อย แต่ก็คงคิดว่ามันไม่อร่อยอย่างนี้กระมั่ง บางๆ เจื่อนๆ ก็ทำส่งเดชๆ ไป และ ไปเหมาเอาว่า คนดริปมันขี้โม้ แต่ยังไม่เลิกล้มความคิด ไปลองชิม specialty coffee drip ของแบรนด์ดังระดับโลก (ร้าน Starduck) เขาก็ให้เรานั่งที่บาร์ แล้วเปิดโหลเมล็ดมาดม ว่าชอบกลิ่น รส แบบไหน (ดูจริงจังมาก) ดริปไปก็เล่านิทานกาแฟไป จนเสร็จ แต่พอชิมแค่นั้นแหล่ะ ผมถือกามานั่งแล้วก็จากไป แค่จิบไปสองสามที แล้วก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น เป็นอนุสรณ์ แล้วก็เหมาว่า “คนดริปมันขี้โม้” ที่ไหนได้ #เราเองที่ไปผิดที่
พอพี่นิคมาเห็นเครื่องมือดริปของผม แกก็เลยต้องเดือดร้อนอธิบายให้ผมฟังว่ามันไม่เหมือนกัน ผมก็ยังเถียงแกเหมือนเดิมว่า กะอิแค่เซรามิกดริป ดริปเปอร์ก็คือดริปเปอร์ มันจะไปมีอะไร จนกระทั่งแกเอาของแกมาให้ลอง เออ มันต่างแฮะ จากนั้นแกก็สอนวิธีทำดริป การคุมเบอร์บด การเลือกน้ำ การคุมอุณหภูมิน้ำ การเติมน้ำ การแก้กาแฟที่สกัดเกินหรือสกัดบาง การเลือกสายพันธุ์เมล็ด โอ้โห มันซับซ้อนสุดๆ แต่ส่วนตัวชอบอยู่แล้ว
จากนั้นแล้วแกก็หอบ เครื่องบด 1zpresso Jx-pro , Commandente C40 , Kinu M47 มาลองเล่น ดูว่ารสชาติมันจะเหมือนกันไหม แล้วเทสเมล็ดกาแฟนชนิดเดียวกัน บดด้วยเครื่องบดต่างกัน แล้วดริปบนดริปเปอร์ต่างชนิดกัน แล้วลองปรับ gind size เล่นดู ขณะนั้นมีของผมยี่ห้อ kakkak(กากๆ) 300 บาท มี kadue ,lilli เออมันไม่เหมือนกันแฮะ ทรง V-60 ก็ได้รสมาอีกแบบ แบบก้นตัด lili ก็อีกแบบ ส่วนของผมรสชาติกากๆ ตามคุณภาพ ไอ้เราก็หลงผิดคิดไปเองว่าเหมือนกัน ยังไม่พอจากนั้นก็ได้รู้จักเครื่องบดไฟฟ้าแบบ one-single dose cup จากอังกฤษแบรนด์ Niche Zero ซึ่งก็ได้จากพี่นิคอีกนั่นแหล่ะสั่งจากอังกฤษให้ 34,000 บาท เป็นอันพอสำหรับ tools ของ home barista มือสมัครเล่น
สิริรวมแล้ว เริ่มจากกาแฟ capsule ถ้วยละ 20 บาท เครื่อง nespresso อีก 4,000 บาท ก็(เคย)กินได้ ก็กินๆไปเพราะไม่เคยมีประสบการณ์กาแฟของจริง พอรู้จัก รวมๆแล้วหมดไปก็น่าจะเลยครึ่งแสนไปไกลอยู่ (ถ้านับเมล็ดกาแฟด้วยก็คงเลยแสนไปไกล)
อุปกรณ์ที่ใช้อยู่ตอนนี้ ก็มี Nische zero , 1zpresso Jx-plus , kadue ,Commandant (ถวายพระไปแล้ว เพราะเขาว่าของถวายพระต้องใช้ของดี เดี๋ยวชาติหน้าไม่มีกาแฟอร่อยกิน), lili , Aram ที่เหลือก็หาเมล็ด หลักๆ ก็พี่ณัฐ ตลาดไท (nath-heartmade) , wela cafe’ (ใกล้บ้าน) , Maneepruk (ซื้อยากไปหน่อย) , สันติพาณิชย์, doi pakgud , ปรีดา ส่วนใหญ่ก็มาจากคนไข้แวะเอามาฝากนี่แหล่ะ แล้วก็ไปติดตามหาซื้อกินเอง ที่ชอบและราคาน่ารักก็คุณพ่อ doi pakgud นี่แหล่ะ กาแฟไทยรสชาติระดับโลก
จะว่าไป มันสวยงามนะ ชอบใช้ดีและบอกต่อ มันเป็นบุญชนิดหนึ่ง ถ้าเจ้าไหนไม่อร่อย ไม่ใช่ของจริง ก็หนสองหนก็ไปดีกว่า และ บอกต่อด้วยว่าอย่าไป วงการกาแฟนี่ว่าไปนิทานอภินิหารเยอะไม่ต่างจากวงการแว่น มีทั้งของจริงและไม่จริง บางคนอร่อย ร้านเล็กๆ เงียบๆ แต่บางร้านดัง ร้านใหญ่ สวยน่านั่ง น่าเข้าแต่ไม่อร่อย ก็ต้องอาศัยประสบการณ์ตรงจากผู้รับบริการล้วนๆ ถึงจะเข้าใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของการให้ value ใน test ของแต่ละคน
ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนกินกาแฟซองหรือกาแฟกระป๋อง เข้มถึงใจ (แบบผมเมื่อก่อน) ก็คงไม่เข้าใจว่า มันจะต้องขนาดนั้นเลยหรือกะอีแค่กาแฟ เพราะกาแฟสำหรับบางคนคือ “ขมกินแล้วไม่ง่วง” ถ้ากินแล้วขมและไม่ง่วง แปลว่า นั่นคือกาแฟ สโลแกนก็เช่น “บั๊ดดี้ ขม เข้ม ถึงใจ”
แต่ถ้าบอกว่า กาแฟหวานเหมือนน้ำเบอรี่คั้น มีกลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ และสารพัดกลิ่น อันนี้เขาจะงง ว่ามันเป็นไปได้ด้วยหรือ ครับผมก็เคยงงๆ เดี๋ยวนี้ไม่งงแล้ว เพราะลองแล้ว มีประสบการณ์แล้ว ไม่ใช่เรื่องมโน
แต่ก็มีพวกร้านกาแฟแนวไม่ซื่อเหมือนกัน ที่ใช้วิธีฉีดสเปรย์กลิ่นลงไปในกาแฟดริปเลย ลูกค้าชอบกลิ่นพีชก็สเปรย์กลิ่นพีชเข้าไป ชอบอะไรก็ฉีดอันนั้น แล้วก็ mark up ขายราคาแพงเหมือนเมล็ดดีๆ ที่มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ถ้าคนไม่เคยกินกาแฟมาก่อน เห็นเขาว่ากาแฟมีกลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ แล้วไปเจอร้านแบบนี้ ก็เข็ดขยาดแล้วเหมาว่ามันแย่เหมือนๆกันหมด จะว่าไปพฤติกรรมแบบนี้ก็มีกันทุกวงการ คือ “เอาสังกะสีมาขายราคากระเบื้อง” อันนี้เป็นการหลอกลวงผู้บริโภค อย่าหาทำ และมันไม่ยั่งยืน ถ้าทุนแกแฟแพงก็ขายแพง ผู้บริโภคเขาเข้าใจ ถ้าเขาซื้อไม่ไหวเขาก็แค่จ่ายไม่ไหว เขาจะไม่ว่าคุณไม่ดี แว่นตาก็เหมือนกัน
เรื่องเหมือนจะจบ แต่ยังจะอุตส่าห์หาเรื่องเสียตังค์เพิ่ม เมื่อสองสามวันก่อน คนไข้ติดตะกร้ากาแฟมา แล้วเอาเจ้า Coffee Consulate RS-16 ซึ่งดูเหมือนเป็นแก้วพลาสติกหยาบๆ ดูไม่น่าจะมีพิษสงอะไร และ ถ้าผมมองด้วยตา ถ้าไม่รู้แล้วมีคนมาขายให้ผม 100 หนึ่ง ผมยังคิดหนักเลย ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ไหนดี
แต่ไม่น่าเชื่อ แก้วพลาสติกที่ดูซื่อบื้อนั่นแหล่ะ อันละ 6,000 บาท เจ้าพระคุณขนุนหนัง มันแพงอะไรกันละครับเนี้ย และ ดริปเปอร์แบบนี้ ไม่ต้องใช้กระดาษกรองอีกต่างหาก แล้วผงมันจะไม่ร่วงลงไปในกาหรือครับเนี้ย พี่พีระบอก “ต้องลอง”
วิธีทำก็แสนง่าย ใช้เมล็ด 16 g หาเบอร์ที่ใช่ ใช้น้ำร้อน 96 องศา บลูมด้วยน้ำร้อน 30 ml แล้วทิ้งไว้ 30 วินาที แล้วก็รินพรวดมันไปเลย 240 ml ไม่ต้องใช้เทคนิคอะไร แล้วก็รอ อร่อย เสร็จเลย ง่ายๆแบบนี้ แล้วมันอะไรกันละครับเนี้ย แก้วพลาสติกที่ดูไม่มีอะไร ถึงทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆได้แบบนี้ แล้วเขาก็กล้าตั้งราคาแบบนี้ด้วยนะ
พอได้รู้แล้วพี่เขาก็เอากลับ งานก็เข้าที่ผมแล้วหล่ะ เพราะโดนป้ายยา หาซื้อในไทยก็ไม่มี ต้องสั่งเยอรมัน (ทำเป็นเลนส์โรเด้นสต๊อกไปได้) จะสั่งก็สั่งไม่เป็น เลยรบกวนผู้ใหญ่คนเดิมที่ผมเดินตามมาหลายปี “พี่นิครู้จัก ดริปเปอร์แบบนี้ไหม พี่สั่งให้หน่อย” พี่นิคตอบว่า “หมอลอฟท์ อยากได้เหรอ ผมมี เดียวส่งให้เลย” เอ๊า ทำไมชีวิตมันช่างง่ายแบบนี้ คราวนี้ก็เสร็จโจร แต่ได้เป็นแบบแก้วมานะ แพงกว่าด้วย ทีนี้ก็ต้องระวังแตกกันหละ เพราะใบนี้ ราคามัน 165 ยูโร ไม่รวมฐานอีก 10 ยูโร ราคานำเข้า+ภาษี ก็ไม่รู้ว่าราคาของแก้วที่ดูโง่ๆใบนี้มันจะราคาไปเท่าไหร่ แต่ผมก็ได้มิตรภาพ ส่งต่อบุญให้ในราคา 5,000 บาท ขอบคุณนะค้าบบบ
วิธีคิด
ทีนี้ก็มาถึงวิธีคิดที่เกิดขึ้นกับเรื่องราวของแก้วดริปกาแฟ ในวันนี้
ผมเป็นคนที่ทำใจซื้อมือถือไม่ได้ ปัจจุบันก็ยังใช้ 7 plus ซ่อมไปแล้วสองรอบ เพราะผมก็ยังหาเหตุในการซื้อ 15 promax ไม่ได้ (รู้สึกเหมือนเอาไปซื้อ BTC จะดีกว่า เพราะดอยสูง ช่วงนี้เป็นเวลาถมดอย) เพราะใช้แค่รับสาย ตอบไลน์ เขี่ยเฟส ถ่ายรูปแว่น (ซึ่ง 7 plus ก็ทำได้) ไปเที่ยวถ่ายรูปก็ไม่เคยลงเฟสบุ๊คส่วนตัว ก็เลยทำใจไม่ได้ แต่ imac ,macbook ,apple TV อันนี้ซื้อแบบไม่คิดได้ เพราะผมใช้พิมพ์งาน ทำเว็บไซต์ เขียนเพจ อ่านหนังสือ ทำรูป ฟังเพลง นุ่นนี่นั่น มันก็มีเหตุผลที่จะซื้อ ดังนั้นของทุกอย่างถ้ามันจะเอา มันก็หาเหตุผลจนได้นั่นหล่ะ
กลับมาที่ แก้วใบละ 7,000 บาท มันก็ทำใจได้ยากเหมือนกันสำหรับคนที่ไม่กินกาแฟ หรือ ไม่ได้ joy กับการกินกาแฟขนาดนั้น หรือ จะกินก็ต่อเมื่อง่วงนอน ก็แค่ กาแฟสอง ครีมหนึ่ง น้ำตาลหนึ่ง ถ้าแบบนี้ ก็คงขายแก้วใบนี้ไม่ได้ เพราะถ้าจะเอาไปซื้อกาแฟซองน่าจะกินได้หลายปี
แต่ถ้าขายให้กับคนที่ชอบ เข้าใจ และ เห็นค่า เท่าไหร่ก็จ่าย เพราะการให้ value ในสุนทรียะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของถูกแพงบนโลกนี้จึงไม่เคยมีจริง อยู่ที่ใครให้ค่าเรื่องอะไร ใครชอบพระเรื่องแพงเท่าไหร่ก็จ่าย คนชอบรูปวาดเท่าไหร่ก็จ่าย คนชอบรถแพงเท่าไหร่ก็จ่าย คนชอบกาแฟเท่าไหร่ก็จ่าย
งานทัศนมาตรก็เช่นกัน งานทัศนมาตรก็คืองานคราฟท์ชนิดหนึ่ง ได้งานที่เราผ่านกระบวนการเครื่องมือ ความรู้และประสบการณ์ จ่ายออกมาเป็น อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่สวมเข้าไปบนใบหน้า แล้วสร้าง look และ การมองเห็นใหม่กับคนไข้ (ที่เราเรียกว่าแว่นนั่นหล่ะ) มันเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่มีแต่ผู้สวมใส่จะเข้าใจว่าเขากำลังเห็นอะไร เห็นอย่างไร รู้สึกถึงสิ่งที่เห็นอย่างไร
บางคนก็ให้ค่าการมองเห็นหรือบางคนไม่ได้ให้ค่า บางคนก็เอาแค่เห็น ไม่ได้สนใจสุนทรียะ แว่นหนัก แว่นบีบ แว่นไหล แว่นหลวม บิด งอ เบี้ยวง่ายแค่ไหนก็ทนๆเอา แค่ดีกว่าตาเปล่าก็เอาแล้ว เหล่านี้เป็นรสนิยม แต่บางคนต้องดูดี ใส่สบาย เสริม look ไม่ใช่แว่นอะไรก็ได้
วงการกาแฟ เรื่องโม้ก็เยอะ เรื่องจริงก็มาก ก็ต้องอาศัยประสบการณ์ตรงของเราหรือคนใกล้ตัวเรานี่แหล่ะเป็นคนพิสูจน์ พอรู้แล้วก็บอกต่อ ถ้าดีก็บอกให้ไปชิม ถ้าไม่ดีก็บอกว่าอย่าไปเลยเสียเงินฟรี วงการแว่นตาก็เช่นกัน มันไม่ยากที่จะหาลูกค้าใหม่ แค่คุณทำโปรโมชั่นดีๆ ขายถูกๆ ทำตัวให้ดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่การทำให้ repete สิยากกว่า มันก็ขึ้นกับว่า คุณไปให้ประสบการณ์อะไรกับเขา ถ้าเป็นประสบการณ์ที่ดี เขาก็บอกต่อดี แต่ถ้าประสบการณ์เลวๆ เขาก็บอกต่อเลวๆ เช่นกัน
เล่าไปเรื่อยก็ขอจบเรื่องเพียงเท่านี้ ท่านไหนชอบคอกาแฟเหมือนกัน ถ้าแวะผ่านมาที่ลอฟท์ ก็มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้นะครับ ยินดีต้อนรับเสมอครับ เพราะผมก็อยากเรียนรู้เหมือนกัน
แวะและเปลี่ยนประสบการณ์ specialty coffee ได้แล้ววันนี้ “ธี่ลอฟท์” 578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม. 10220 โทร 090-553-6554
#ถ้ามาแชร์วิธีการทำให้ผมด้วยจะขอบคุณมาก
read in English https://bit.ly/40USH0P
link : สำหรับศึกษาเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/supatra.cafe
https://www.facebook.com/CoffeeConsulate
https://www.facebook.com/aramsoulcraft
https://www.facebook.com/nathheartmade
https://www.facebook.com/Rasakhabu
https://www.facebook.com/GemforestCoffee
#SpecialtyCoffee #CoffeeConsulateRS16 #Aram #NicheZero #Optometrist #ทัศนมาตร